วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

วิเคราะห์บทพระมหาจักรพรรดิช่วยชาติไทย

บทวิเคราะห์บทสวดมนต์มหาจักรพรรดิ์

Bookmark and Share
คำอัญเชิญภพภูมิ
การใช้คำอัญเชิญภพภูมิ ผลและกำลังบุญที่ได้จะมากมายกว่าสวดคนเดียวมาก และเช่นเดียวกัน หากสวดมนต์บทพระมหาจักรพรรดิเวลา 20.30 น. กำลังที่ได้ก็มากกว่าสวดเวลาอื่นมากมายนัก ด้วยสาเหตุคือ
  1. เป็นการทำสมาธิหมู่ สวดมนต์หมู่ทั้ง 3 โลก กำลังย่อมมีมากกว่า
  2. เป็นช่วงเวลาที่หลวงปู่ท่านเปิดโลกให้ภพภูมิมองเห็นกันทั้ง 3 โลก ผลานิสงส์ การขอ การให้ การช่วยเหลือจึงเกิดขึ้นได้โดยง่าย และมหาศาลกว่ามาก
(สำหรับผู้ที่รู้จักไมโครชิพ ให้กระตุ้นไมโครชิพ ก่อนอธิษฐาน)
ลูกขอตั้งสัจจะอธิษฐาน กราบขออาราธนาเมตตาบารมีรวมหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ ขอหลวงปู่ได้โปรดมีเมตตา อาราธนาบารมีรวม ของ สมเด็จพระวิสุทธิพุทธรังษีบรมธรรมบิดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยตั้งแต่สมเด็จองค์ปฐมจนถึงองค์ปัจจุบัน บรมมหาจักรพรรดิทุกๆพระองค์ บารมีรวมพระปัจเจกพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ พระธรรม และพระอริยะสงฆ์ทั้งหลาย โดยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและอนาคต บารมีรวมหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ ท่านอันเป็นที่สุด บารมีรวมหลวงตาม้าเป็นต้น
การอ้างอิงบารมีของ พระบรมธรรมบิดา พระพุทธเจ้า และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวเพื่ออัญเชิญภพภูมิ จะมีผลมากกว่าเรากล่าวเชิญเองลอยๆ ด้วยเหตุที่บางภพภูมิก็อยากจะมาแต่มาไม่ได้ เพราะด้วยข้อจำกัดแห่งบุญของแต่ละภพภูมิ คือชั้นที่จะไปไหนมาไหนได้เองไกล ๆ จะต้องสูงกว่าเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาเป็นต้นไป การกล่าวอ้างพระบารมีของพระพุทธองค์เป็นประธาน บารมีรวมของพระโพธิสัตว์เป็นที่สุด พระโพธิสัตว์ท่านจะกำหนดเป็นทางแสงทำให้ภพภูมิต่าง ๆตามแสงนั้นมาร่วมสวดมนต์ได้ หลักเกณฑ์คล้ายๆกับชาวดาวอังคารใช้เส้นแสงพีระมิดในการกำหนดทิศทาง แล้วไปตามเส้นแสงนั้น
ขอบารมีหลวงปู่ได้โปรดเมตตาน้อมนำ ภพภูมิต่างๆทั้งหลายในทั่วทั้ง 3 แดนโลกธาตุ อันประกอบไปด้วยเทพ 6 ชั้นพรหม 20 ชั้น เทพพรหมทุกชั้นฟ้ามหาสมุทร โดยทั่วทั้งหมื่นแสนโกฏิจักรวาล เทพพรหมเทวาที่เกี่ยวพันกับหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ หลวงตาม้า เทพพรหมเทวาที่เกี่ยวพันเกี่ยวข้องกับข้าพเจ้า โดยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและอนาคต ท่านปู่พระอินทร์เจ้าฟ้า ท่านท้าวจตุมหาราชทั้ง 4 พระยายมราชพร้อมด้วยบริวารทั้งหมด
พระศรีสยามเทวาธิราชทุกๆพระองค์ วีรบุรุษและวีรสตรีทั้งหลาย ที่คอยปกป้องรักษาแผ่นดินสยาม โอปะปาติกะทั้งหลาย พระฤาษีและดาบสทั้งหลาย ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองทุกๆจังหวัด พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระราหูวราหก เจ้ากรุงพาลี แม่พระธรณี แม่พระโพสพ แม่พระคงคา พระเพลิง พระพาย พระพิรุณ พญาครุฑ-พญานาคพร้อมด้วยบริวาร คนธรรพ์ ชาวเมืองลับแล และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้าได้เคยไปอธิษฐานไว้ ขอหลวงปู่ได้โปรดเมตตาน้อมนำท่านทั้งหลายมาร่วมสวดบทพระมหาจักรพรรดิ พร้อมกันกับพวกข้าพเจ้า เพื่อเพิ่มกำลัง ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้ด้วยเถิด
คำอัญเชิญนี้เป็นแบบยาวที่คิดว่ามีประโยชน์ เพราะท่านที่ลองฝึกใหม่ๆ อาจจะยังไม่คล่องในการกำหนดจิต จึงใส่คำอัญเชิญแบบคลุมที่สุดให้ จะตัดทอนหรือเพิ่มได้ตามใจชอบ รักใครชอบใคร นับถือใครเป็นพิเศษก็กล่าวเพิ่มได้ หรือจะย่อๆว่า “ ขอเชิญภพภูมิต่างๆทั้งหลายในทั่วทั้ง 3 แดนโลกธาตุ มาร่วมสวดมนต์พร้อมกันเพื่อเพิ่มกำลัง” ก็ได้
ในเรื่องดังกล่าวผู้ที่มีมโนมยิทธิจะมองเห็นคุณประโยชน์ของสรรพวิญญาน ที่ได้รับโอกาสจากพระบรมโพธิ สัตว์ได้เพิ่มกำลังบุญบารมีแห่งตนร่วมกัน และแก่พระบรมโพธิสัตว์ และแก่ตัวเราที่เป็นผู้ตั้งจิตอธิษฐานเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เมื่อบุญบารมีเรามีกำลังเพิ่มขึ้นเร็วมาก สะพานทางเดินที่เราจะใช้เดินทางข้ามไปฟากฝั่งพระนิพพานก็จะเสร็จสมบูรณ์เร็วยิ่งขึ้น หรือนัยหนึ่งการเดินมรรคที่เหลือของเราก็จะเสร็จสมบูรณ์ได้ง่ายขึ้นนั่นเอง ไม่ต้องเดินทางโดยลำพังแต่เฉพาะตัว
ส่วนผู้ที่เคยได้รับดอกบัวสีขาวยกตัวขึ้นมาก่อน ระหว่างการปฏิบัติ ก็ให้นึกถึงภาพนั้น นำดอกบัวมารองนั่ง
หรือผู้ที่ปฏิบัติวิปัสสนา โดยใช้พีระมิดเป็นอุปกรณ์ช่วยมาก่อน และเมื่อฝึกแล้ว เห็นกายเนื้อของเราเข้าไปนั่งอยู่ในพีระมิด จะขยายออกและลดลงได้ตามจิตสั่ง แต่ในภาวะปัจจุบันให้กลับยอดแหลมชี้ลงดิน เนื่องจากกาแลกซี่อันโดรเมดาส่งประจุลบจำนวนมหาศาลมาสู่โลก พีระมิดจะได้ช่วยถ่ายประจุลบลงดินได้รวดเร็วขึ้นกว่าการส่งพลังงานลบออกสู่อวกาศ พีระมิดจะช่วยให้การปฏิบัติเป็นไปอย่างราบรื่นสะดวกยิ่งขึ้น
บทบูชาพระ
พุทธัง ชีวิตตัง เม ปูเชมิ
ข้าพเจ้า ขอบูชาพระพุทธเจ้า ด้วยชีวิต
ธัมมัง ชีวิตตัง เม ปูเชมิ
ข้าพเจ้า ขอบูชาพระธรรมเจ้า ด้วยชีวิต
สังฆัง ชีวิตตัง เม ปูเชมิ
ข้าพเจ้า ขอบูชาพระสงฆ์เจ้า ด้วยชีวิต
เป็นบทกล่าวถึงการมอบกายถวายชีวิต เพื่อพระรัตนตรัยแล้ว แม้ชีวิตก็มอบให้ได้ ผลานิสงส์บทนี้จึงมากมายนัก เรียกว่าทำดี ๆ ปิดทางนรกได้เว้นแต่กระทำอานันตริยะกรรม 4 ประการเท่านั้น เป็นบาทฐานของการเข้าถึงพระไตรสรณาคมณ์นั่นเอง

กราบพระ ๖ ครั้ง
พุทธัง วันทามิ (กราบ)
ข้าพเจ้า ขอไหว้ซึ่งพระพุทธเจ้า
ธัมมัง วันทามิ (กราบ)
ข้าพเจ้า ขอไหว้ซึ่งพระธรรมเจ้า
สังฆัง วันทามิ (กราบ)
ข้าพเจ้า ขอไหว้ซึ่งพระสงฆ์เจ้า
ครูอุปัชฌาย์อาจาริยคุณัง วันทามิ (กราบ) (ผู้หญิงว่า อาจาริยคุณัง วันทามิ)
ข้าพเจ้า ขอไหว้ซึ่งครูอุปัชฌาย์อาจารย์
มาตาปิตุคุณัง วันทามิ (กราบ)
ข้าพเจ้า ขอไหว้ซึ่งบิดา มารดา
พระไตรสิกขาคุณัง วันทามิ (กราบ)
ข้าพเจ้า ขอไหว้ซึ่งพระไตรสิกขา
การไหว้พระ ๖ ครั้งเป็นการแสดงความอ่อนน้อม แก่สรณะผู้ควรบูชา ๖ สรณะด้วยกัน แฝงไว้ด้วยกุศโลบายแห่งความอ่อนน้อม และความกตัญญูกตเวที อันเป็นเครื่องหมายแห่งคนดี
สำหรับในบทกราบพระไตรสิกขาบทนั้น เนื่องเพราะเป็นบทสรุปแห่งธรรมะทั้งปวงในพระพุทธศาสนา เป็นหนทางโดยย่อแต่ชัดเจนไม่อ้อมค้อม ทั้งยังเป็นปัจฉิมโอวาท แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย นั่นคือ "ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนท่านทั้งหลาย สังขารทั้งหลายมีความเสื่อม ความสิ้นไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลาย จงบำเพ็ญไตรสิกขา คือศีล สมาธิ ปัญญา ให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด"
บทสมาทานศีล ๕
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ(๓ ครั้ง)
ข้าพเจ้า ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
หลายท่านคงสงสัยว่า ทำไมต้องกล่าวบทคำบูชาพระพุทธเจ้านี้ก่อนว่าคาถา (ที่โบราณเรียกตั้งนะโม ๓ จบ) หรือ นำหน้าบทสวดมนต์ต่างๆตลอดด้วย ที่มาของคำบูชาพระบรมศาสดานี้ มีเรื่องเล่าว่า ณ แดนหิมวันต์ประเทศ มีเทือกเขาชื่อว่า สาตาคิรี เป็นที่ร่มรื่น รมณียสถาน เป็นที่อยู่ของพวกยักษ์ที่เป็นภุมเทพยดา อันมีนามตามที่อยู่ว่า สาตาคิรียักษ์ มีหน้าที่เฝ้าทางเข้าหิมวันต์ ทางทิศเหนือ เป็นบริวารของท้าวเวสสุวัณ สาตาคิรียักษ์ได้มีโอกาสสดับ พระสัทธรรมจากพระบรมศาสดา จนมีจิตเลื่อมใสศรัทธา เปล่งคำยกย่องบูชาด้วยคำว่า "นะโม" หมายถึง พระผู้มีพระภาค ทรงเป็นใหญ่กว่า มนุษย์ เทพยดา พราหมณ์ มาร ยักษ์ และสัตว์ทั้งปวง
กล่าวฝ่าย อสุรินทราหู เมื่อ ได้สดับพระเกียรติศัพท์ ของพระบรมศาสดา ก็มีจิตปรารถนา ที่จะได้ฟังธรรมของพระบรมศาสดาบ้าง แต่ด้วยกายของตนใหญ่โตเท่ากับโลก จึงคิดดูแคลน พระบรมศาสดา ว่า มีพระวรกายเล็กดังมด จึงอดใจรั้งรออยู่ พอนานวันเข้า พระเกียรติคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ยิ่งขจรขจายไปทั้งสามโลก จนทำให้อสุรินทราหูอดรนทนอยู่มิได้ จึงเหาะมาในอากาศ ตั้งใจว่าจะร่ายเวทย่อกาย เพื่อเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ขอฟังธรรม แต่พอมาถึงที่ประทับ อสุรินทราหู กลับต้องแหงนหน้าคอตั้งบ่า เพื่อจะได้ทัศนาพระพักตร์พระบรมศาสดา พระผู้มีพระภาคจึงทรงแสดงพระสัทธรรม ชำระจิตอันหยาบกระด้าง ของอสุรินทราหู ให้มีความเลื่อมใสศรัทธา แสดงตนเป็นอุบาสกผู้ถือพระรัตนตรัยตลอดชีวิต แล้วกล่าวสรรเสริญพระบรมศาสดาว่า “ตัสสะ” แปลว่า ขอบูชา ขอนอบน้อม ขอนมัสการ
เมื่อครั้งที่ ท้าวจาตุมหาราช ทั้ง ๔ ผู้ดูแลปกครองสวรรค์ชั้นแรก มีชื่อเรียกว่า ชั้น กามาวจร มีหน้าที่ปกครองดูแลประตูสวรรค์ทั้ง ๔ ทิศ พร้อมบริวาร ได้พากันเข้ามาเฝ้าพระบรมศาสดา แล้วทูลถามปัญหา พระบรมศาสดา ทรงแสดงธรรมตอบปัญหา แก่มหาราชทั้งสี่พร้อมบริวาร จนยังให้เกิดธรรมจักษุแก่มหาราชทั้งสี่ และบริวาร ท่านทั้ง ๔ นั้น จึงเปล่งคำบูชาสาธุขึ้นว่า "ภะคะวะโต” แปลว่า พระผู้มีพระภาค ทรงเป็นผู้จำแนกธรรมอันยิ่ง อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า
อะระหะโต เป็นคำกล่าวสรรเสริญ ของท้าวสักกะเทวราช เจ้า สวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น ท่านสถิตย์อยู่ ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท้าวสักกะเทวราช ได้ทูลถามปัญหา แด่พระผู้มีพระภาค พระพุทธองค์ทรงตรัสปริยายธรรม และ ทรงตอบปัญหา จนทำให้ท้าวสักกะเทวราช ได้ดวงตาเห็นธรรม บรรลุเป็นพระโสดาปัตติผล จึงเปล่งอุทานคำบูชาขึ้นว่า " อะระหะโต " แปลเป็นใจความว่า อรหันต์ เป็นผู้ไกลจากกิเลส ไกลจากเครื่องข้องทั้งปวง
สัมมาสัมพุทธัสสะ เป็นคำกล่าวยกย่องสรรเสริญ ของ ท้าวมหาพรหม หลังจากได้ฟังธรรม จนบังเกิดธรรมจักษุ จึงเปล่งคำสาธุการ "สัมมาสัมพุทธัสสะ" หมายถึง ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ด้วยพระองค์เอง ทรงรู้ดี รู้จริง รู้ยิ่ง กว่าผู้รู้อื่นใด รวมเป็นบทเดียวว่า "นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
"แปลโดยรวมว่า ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น ด้วยเหตุนี้โบราณท่านจึงว่า หากขึ้นต้นคาถาหรือบทสวดมนต์ใดๆด้วยการตั้งนะโม ๓ จบ คาถานั้นจะมีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนักด้วย เพราะเป็นคำสรรเสริญพระพุทธเจ้าที่มีเทพพรหมชั้นหัวหน้าได้กล่าวไว้ แรงครูหรือแรงแห่งเทพ-พรหม และแรงพระรัตนตรัยท่านจึงประสิทธิ์ให้สมประสงค์"
บทสมาทานพระไตรสรณาคมณ์
เพื่อผลานิสงส์ยิ่งขึ้น และเป็นการตล่อมจิตให้ชินต่อการทรงคุณความดี หลวงปู่ดู่ท่านแนะนำให้มีการบวชจิตในขณะกล่าวการสมาทานพระไตรสรณาคมณ์ด้วย ดังนี้
" ในขณะที่เรานั่งสมาธิเจริญภาวนานั้น คำกล่าวว่า

พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
ให้นึกถึงว่าเรามีพระพุทธเจ้าเป็นพระอุปัฌาย์ของเรา
ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ...
ให้นึกว่าเรามีพระธรรมเป็นพระกรรมวาจาจารย์ของเรา
สังฆัง สรณัง คัจฉามิ...
ให้นึกว่าเรามีพระอริยสงฆ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ของเรา
แล้วอย่าสนใจขันธ์ 5 หรือร่างกายเรานี้ ให้สำรวมจิตให้ดี มีความยินดีในการบวช ชายก็ตั้งจิตเป็นพระภิกษุ หญิงก็ตั้งจิตเป็นพระภิกษุณี อย่างนี้จะมีอานิสงส์สูงมาก จัดเป็นเนกขัมบารมีขั้นอุกฤษฎ์ทีเดียว "
เมื่อจะออกจากสมาธิก็ให้อธิษฐานกลับมาเป็นฆราวาสเหมือนเดิม การสวดมนต์ภาวนาของเราจะมีผลมากครับ อีกประการความชินของจิตใน การทรงกำลังความเป็นพระจะทำให้เราปฏิบัติธรรมได้โดยง่ายขึ้น
บทสมาทานพระไตรสรณาคมณ์ : บทนี่สำคัญมาก กล่าวด้วยกำลังใจที่เข้าถึงเต็มเปี่ยม ขอพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งสูงสุด ไม่มีที่พึ่งที่ยึดถืออื่นใดสูงกว่า เป็นปัจจัยให้ปิดทางนรกภูมิได้ เว้นแต่ได้กระทำอานันตริยะกรรมมาก่อน บทนี้ควรทำความเข้าใจ และให้เข้าถึงให้ได้ ด้วยเป็นเส้นทางเดินที่ตรงต่อพระนิพพาน ไม่หลงทาง ผู้เข้าถึงจะได้เกิดในบวรพุทธศ่าสนาอีกหากยังไม่เข้านิพพานฉันใด บทนี้คนกล่าวกันเป็นประจำ แต่หาได้เข้าใจเข้าถึงอย่างลึกซึ้งไม่ จะสังเกตว่าด้วยไม่เข้าถึงจุดนี้กัน การถือมงคลตื่นข่าวจึงเกิดขึ้นได้ตลอดในสังคมไทย…..บทนี้นี่เองที่หลวงปู่ ใช้ภาวนาทำสมาธิจนกระทั่งค้นพบวิชาภูติพระพุทธเจ้า หรือวิชาเปิดโลกที่มีผู้อื่นตั้งชื่อวิชาให้ในภายหลังนั่นเอง
หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ หรือในภาคหนึ่งของพระศรีอริยะเมตไตรย์ ที่เสียสละลงมาช่วยลูกๆหลานๆได้เดินทางลัด ไปสู่พระนิพพานได้สะดวกรวดเร็วมากขึ้น เมื่อตั้งจิตน้อมเคารพพระรัตนตรัย หลวงปู่แนะนำให้ทำการบวชจิต หรือบวชใน ทำได้ทั้งหญิงชาย ผู้ชายตั้งใจบวชจิตเป็นพระภิกษุ ผู้หญิงตั้งใจบวชจิตเป็นพระภิกษุณี และเมื่อเลิกจากการปฏิบัติภาวนยาแต่ละคราว ก็ขอลาออกมาเป็นฆราวาสก็ได้
หรือผู้ที่พร้อมแล้ว ก็บวชจิตไปตลอดเวลาไม่ต้องลา พร้อมกับรักษาศีลห้า ระมัดระวังในศีลอยู่เป็นนิจ ให้จิตเป็นปรกติ ซึ่งเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของผู้ที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ทุกคน ส่วนผู้ที่มีศีลห้าข้อไม่ครบก็จะไปเกิดในภพภูมิที่ต่ำลงไป เช่นไปกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเป็นต้น
ดุจเดียวกับการสร้างบ้านทุกๆหลัง ก็ต้องตระเตรียมทำฐานรากให้มั่นคงแข็งแรง ในสถานที่ที่จะสร้างบ้านในที่นั้นๆ เพื่อรองรับน้ำหนักทั้งหมดที่จะเกิดขึ้น ให้เกิดความแข็งแรงมั่นคง
  • เมื่อยกจิตกราบครั้งแรกภาวนา พุทธัง สรณัง คัจฉามิ..ให้นึกในใจว่าพระพุทธเจ้าเป็นพระอุปฌาย์ของข้าพเจ้า
  • กราบครั้งที่สอง ภาวนา ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ นึกในใจว่า พระธรรมเป็นพระกรรมวาจาจารย์ของข้าพเจ้า
  • กราบครั้งที่สาม ภาวนา สังฆัง สรณัง คัจฉามิ นึกว่าพระอริยสงฆ์เป็นพระอนุสาสนาจารย์ของข้าพเจ้า

เมื่อได้ตั้งจิตน้อมกราบที่แทบพระบาทของพระพุทธองค์ หรือหลวงปู่ ท่านจะได้บวชจิตเป็นที่เรียบร้อย มีหน้าที่ดำรงค์ศีลทั้ง 5 ข้อ และกรรมบท 10 สืบต่อไป ตราบสิ้นอายุขัย หรือตั้งเป้าการปฏิบัติคืนกลับบ้านนิพพาน ด้วยอภิญญาใหญ่ หรือแสงทิพย์นิพพานต่อไปไม่หยุดยั้ง จนปรากฏปฏิจจสมุปบาทขึ้นแก่จิตของท่านครบวงรอบ ท่านก็จะทราบวันตาย และเหตุแห่งการตายครั้งสุดท้ายนี้ล่วงหน้า...ขอร่วมโมทนากับทุกๆท่าน ที่ประสบความสำเร็จสมความตั้งใจอย่างเร็วพลัน ไม่เนิ่นช้า แข่งกับภัยพิบัติของโลกและจักรวาล ในรอบที่ 5 ที่จะรุนแรงกว่า 4 ครั้งที่ผ่านมา

พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งที่ระลึก
ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมเป็นที่พึ่งที่ระลึก
สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่งที่ระลึก
ทุติยัมปิ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
แม้ครั้งที่สอง ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งที่ระลึก
ทุติยัมปิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
แม้ครั้งที่สอง ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมเป็นที่พึ่งที่ระลึก
ทุติยัมปิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
แม้ครั้งที่สอง ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่งที่ระลึก
ตะติยัมปิ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
แม้ครั้งที่สาม ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งที่ระลึก
ตะติยัมปิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
แม้ครั้งที่สาม ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมเป็นที่พึ่งที่ระลึก
ตะติยัมปิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
แม้ครั้งที่สาม ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่งที่ระลึก
บทอาราธนาศีล
  1. ปาณาติปาตา เวรมณี สิกขาปะทังสมาธิยามิ
    เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการฆ่า
  2. อทินนาทา เวรมณี สิกขาปะทังสมาธิยามิ
    เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ด้วยอาการแห่งขโมยหรือโจร
  3. อพรัมจริยา เวรมณี สิกขาปะทังสมาธิยามิ
    เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการประพฤติผิดในพรหมจรรย์
  4. มุสาวาทา เวรมณี สิกขาปะทังสมาธิยามิ
    เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการพูดเท็จ
  5. สุราเมรยะ มัชชปมาทัฎฐานา เวรมณี สิกขาปะทังสมาธิยามิ
    เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการดื่มน้ำเมาอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
อิมานิ ปัญจสิกขา ปทานิ สมาธิยามิ (๓ ครั้ง)
ข้าพเจ้าขอทรงไว้ซึ่งศีลทั้งห้าประการด้วยจิตตั้งมั่น
สีเลนะ สุคะติง ยันติ สีเลนะ โภคะสัมปทา
ศีลนำความสุขมาให้ ศีลนำมาซึ่งโภคทรัพย์
สีเลนะ นิพพุติง ยันติ ตัสมา สีลัง วิโส ธะเย
ศีลคือหนทางสู่พระนิพพาน
บทอาราธนาศีล : เป็นกุศโลบายให้คนชินต่อการกล่าวศีล เพื่อการรักษาศีลอย่างแท้จริงในอนาคต อีกทั้งยังเป็นการเกิดผลานิสงส์อย่างมาก เพราะถือว่าตลอดเวลาที่เราสวดมนต์อยู่นี่เรามีศีลบริสุทธิ์จนกว่าเราจะล่วงศีล ด้วยความจำเป็นต่าง ๆเช่น ด้วยอาชีพ ในส่วน “อพรัมจริยา เวรมณี…” นั้นเพราะในช่วงที่สวดมนต์อยู่นั้น เราไม่ได้ถูกเนื้อต้องตัวกับเพศตรงข้ามอยู่แล้ว ท่านจึงให้ถือพรหมจรรย์เสีย เพื่อบุญที่มากกว่า แต่เมื่อเราสวดมนต์เสร็จแล้ว หากต้องถูกเนื้อต้องตัวเพศตรงข้ามด้วยฆราวาสวิสัย ก็ย่อมทำได้ ศีลจะเลื่อนมาที่ กาเมสุมิจฉาฯแทน เรื่องศีลนี้ความจริงมีถึง 3 ขั้น ตั้งแต่ขั้นต้นจนถึงปรมัติเลยทีเดียว ขอไดโปรดอ่านเพิ่มเติมตอนท้ายเล่มนะครับ
บทอาราธนาพระ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓ ครั้ง)
ข้าพเจ้า ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พุทธัง อาราธนานัง กะโรมิ
ข้าพเจ้าขออาราธนาซึ่ง พระพุทธเจ้า
ธัมมัง อาราธนานัง กะโรมิ
ข้าพเจ้าขออาราธนาซึ่ง พระธรรมเจ้า
สังฆัง อาราธนานัง กะโรมิ
ข้าพเจ้าขออาราธนาซึ่ง พระสงฆ์เจ้า
บทอาราธนาพระรัตนตรัยนี้ เป็นการอัญเชิญพระ บารมีของพระรัตนตรัยมาสถิตย์อยู่ที่กายและมโนแห่งเราอยู่ทุกลมหลายใจเข้า-ออก อยู่ทุกขณะจิต ให้เราไม่ห่างจาก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพื่อการเข้าถึงพระไตรสรณาคมณ์ เรื่องการเข้าถึงพระไตรสรณาคมณ์นี่ถือว่าจำเป็นมาก เพราะปิดอบายได้ เราจะไม่ลงนรก ผู้เขียนเคยถามหลวงตาว่า แล้วชาติหน้าเราจะต้องทำใหม่ไหม หลวงตาท่านว่า ไม่ต้อง เข้าถึงชาตินี้แล้วอารมณ์เก่าจะมี จะเข้าถึงตลอดทุกชาติ ปิดอบายตลอดทุกชาติจนกว่าจะนิพพาน
คาถาหลวงปู่ทวด
น้อมระลึกถึงหลวงปู่ทวด แล้วว่าคาถาดังนี้
นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา (๓ ครั้ง)
ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่ เจ้าประคุณสมเด็จหลวงปู่ทวด ผู้เป็นพระโพธิสัตว์ เป็นผู้มีโชคซึ่งเข้ามาสถิตย์อยู่ในตัวของข้าพเจ้านี้ (4)
คาถาหลวงปู่ดู่
น้อมระลึกถึงหลวงปู่ดู่ แล้วว่าคาถาดังนี้
นะโม โพธิสัตโต พรหม ปัญโญ (๓ ครั้ง)
ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพรหม ปัญโญ โพธิสัตว์
หลวงตาม้าท่านเมตตาเล่าให้ฟังว่า ถ้าจะศึกษาและปฏิบัติธรรมตามแนวของหลวงปู่ดู่ ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจในชื่อของท่านก่อน คือ พระพรหมปัญโญ มีความหมายเช่นไร
โดยคำว่า “พรหมปัญโญ” มีความหมายถึง การเป็นผู้มีปัญญาเยี่ยงพระพรหม นั่นเอง ในการที่จะมีปัญญา เยี่ยงพระพรหม ได้นั้นต้องสร้างความเป็นพระพรหมให้เกิดขึ้นแก่เราก่อน โดยการปฏิบัติตามหลักของพรหมวิหาร 4 ประกอบด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา และพยายามทรงอารมณ์ตามหลักของพรหมวิหารให้ได้ก่อน จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติตามแนวของหลวงปู่ดู่พรหมปัญโญ
บทขอขมาพระรัตนตรัย
โยโทโส โมหะจิตเต นะพุทธัสมิง ปาปะกะโต มะยา ขะมะถะเม กะตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสันตุ
การกระทำอันหลงผิดอันใด ซึ่งกระทำล่วงเกินแล้วในคุณพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าขอกล่าวคำขอขมา เพื่อการบาปกรรมทั้งหลายทั้งปวงจงสูญสิ้นไป
โยโทโส โมหะจิตเต นะธัมมัสมิง ปาปะกะโต มะยา ขะมะถะเม กะตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสันตุ
การกระทำอันหลงผิดอันใด ซึ่งกระทำล่วงเกินแล้วในคุณพระธรรมเจ้า ข้าพเจ้าขอกล่าวคำขอขมา เพื่อการบาปกรรมทั้งหลายทั้งปวงจงสูญสิ้นไป
โยโทโส โมหะจิตเต นะสังฆัสมิง ปาปะกะโต มะยา ขะมะถะเม กะตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสันตุ
การกระทำอันหลงผิดอันใด ซึ่งกระทำล่วงเกินแล้วในคุณพระสงฆ์เจ้า ข้าพเจ้าขอกล่าวคำขอขมา เพื่อการบาปกรรมทั้งหลายทั้งปวงจงสูญสิ้นไป
บทนี้มีความสำคัญมาก ด้วยกรรมไม่ดีที่เกิดแก่พระรัตนตรัยนั้น เป็นอุปสรรคอย่างมากต่อการปฏิบัติธรรม ต้องหมั่นดูกริยาของตัวเองมิให้ก้าวล่วงต่อพระรัตนตรัยอยู่ตลอดเวลา และให้คอยหมั่นขอขมาทุกวัน เนื่องเพราะบางทีเราอาจเผอเรอล่วงเกินทั้งโดยเจตนา หรือไม่เจตนา ทั้งเล็กน้อยทั้งใหญ่หลวง กุศโลบายข้อนี้คล้ายคลึงกับการต่อศีลของพระ หรือการปลงอาบัติของพระ ทั้งนี้เพื่อให้กำลังใจ ให้รู้ตัว ให้นึกรู้ตัวตาม ให้เกิดสติอยู่ทุกขณะจิตนั่นเอง เพื่อในกาลต่อไปจะได้ระมัดระวังตัวไม่ทำผิดอีกนั่นเอง
บทสวดมหาจักรพรรดิ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุท ธัสสะ (๓ ครั้ง)
ข้าพเจ้า ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
* สวดตามกำลังวัน อาทิตย์ ๖, จันทร์ ๑๕, อังคาร ๘, พุธ ๑๗, พฤหัส ๑๙, ศุกร์ ๒๑, เสาร์ ๑๐ *
แต่เดิมนั้นสวดกัน 108 จบ แต่ต่อมาหลวงตาม้าท่านเมตตาต่อศิษย์ที่มาใหม่ๆ กลัวจะหมดกำลังใจ พาลเอาไม่ปฏิบัติกัน ท่านจึงให้สวดตามกำลังวันแทน หากใครใคร่สวดถึง 108 จบก็ขออนุโมทนาอย่างยิ่งมา ณ. โอกาสนี้ สาธุ…
คำแปลบทจักรพรรดิโดยหลวงตาม้า
นะโมพุทธายะ
พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์
พระพุทธไตรรัตนะญาณ
สุดยอดของศีล สมาธิ ปัญญา (ผมฟังแล้ววิเคราะห์ว่า ที่หลวงตาท่านพูดว่าสุดยอดของศีล สมาธิ ปัญญา เพราะมีคำว่าพระพุทธคือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานนำหน้า)
มณีนพรัตน์
สมบัติจักรพรรดิ์
(ไปไล่ดู ลูกแก้ว ม้าแก้ว พระขรรค์แก้ว ฯลฯ)
สีสะหัสสะสุธัมมา
สีสะ
แปลว่า ความคิด
หัสสะ
แปลว่า มือ ก็คือ การกระทำ
สุธัมมา
คือ การรู้ทั้ง ๓ โลกธาตุ
รวมความคือ การคิดและลงมือทำ จนรู้ทั่วทั้ง ๓ โลก
พุทโธ ธัมโม สังโฆ
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ยะธาพุทโมนะ
พระพุทธเจ้าที่จะมาตรัสรู้ในอนาคต คือพระศรีอริยเมตไตรย
พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา
บูชาพระรัตนตรัย
อัคคีธานัง วะรังคันธัง
อันตรายทั้งหมดทั้งมวลไม่เกิด
สีวลี จะ มหาเถรัง
โชค ลาภ ธุรกิจการงาน คลอบคลุมทั้งหมด
อะหังวันทามิ ทูระโต
อะหังวันทามิธาตุโย
อะหังวันทามิ สัพพะโส
พุทธะ ธัมมะ สังฆะ ปูเชมิ
บูชาทั้งหมดทั้งมวลในพระพุทธศาสนา
หลวงตาม้าท่านย้ำว่าถ้าจะแปลกันจริงๆเนี่ย แปลออกมาได้เป็นหนังสือเล่มใหญ่ๆเล่มหนึ่งก็อาจจะยังไม่หมดเลยครับ เพราะเยอะมาก
บทนี้เป็นการสวดไหว้พระพุทธเจ้าทั่วทั้ง พระนิพพาน ตลอดจนถึงพระธรรมเจ้าและพระโพธิสัตว์เจ้า พระอริยะสงฆ์สาวกทั้งมวลไหว้พระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์รวมถึงน้อมนำกำลังของเทพพรหมพระอริยะเจ้าทั้งหลาย

การสวดครั้งหนึ่ง เป็นการดึงกำลังของพระเจ้าจักรพรรดิทุกๆพระองค์ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและอนาคต รวมถึงกำลังของพระมหาโพธิสัตว์เจ้ามารวมกัน อาราธนาเข้าที่กายและใจ
และรวมกำลังของพระโพธิญานโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย ตั้งแต่อดีต ถึง ปัจจุบัน และอนาคต
การสวดครั้งหนึ่งมีอานิสงส์แผ่ไปทั่วจักรวาล สามแดนโลกธาตุสามารถแผ่บุญไปทั่วทุกสรรพสัตว์ตลอดจนเทวดาประจำตัวเรา ญาติมิตรเพื่อนฝูงครอบครัวเจ้ากรรมนายเวรและหากนำบทสวดนี้ไปสวดในนรกหรือแผ่ไป ไฟนรกจะดับชั่วขณะ...ด้วยการสงเคราะห์สรรพสัตว์ด้วยแสงของพระบรมโพธิสัตว์ทั้งหลาย
บทนี้เป็นการสร้างกำแพงแก้วคุ้มกันตัว รวมถึงการอาราธนาบารมีครูบาอาจารย์พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์อัญเชิญเข้าตัว เพื่อป้องกันภัยและสร้างมหาโชค-มหาลาภ
อานิสงส์แก่ผู้สวดมีทั้งมหาบุญ-มหาลาภ เนื่องจากมีการกล่าวถึงพระสีวลี รวมถึงบทนี้มีพลังงานอย่างยิ่งในการเจริญพระกรรมฐาน หากนำไปสวดบริกรรมก่อน หรือระหว่างนั่งภาวนากรรมฐาน จะทำให้การภาวนามีพุทธานุภาพมาคลุม และคุมการปฏิบัติของเรา คลุมกายและจิตเราเป็นวิมานทิพย์ (ครอบวิมานให้ตัวเองหรือสวดอธิษฐานครอบคน อื่นก็ได้)
หากสวดบทนี้ สามารถอธิษฐานเรื่องราวใดๆมี่ติดข้องใจได้ให้ผ่านพ้นไปอย่างทะลุปรุโปร่ง กล่าวโดยสรุปได้ว่าคาถาจักรพรรดินี้ จากการเรียบเรียงถ้อยคำโดยหลวงปู่ดู่ท่าน ก่อให้เกิด จักรพรรดิ กำลังจักรพรรดิขึ้นด้วยในบทสวด พระคาถาครอบจักรวาล
พระคาถามหาจักรพรรดิที่หลวงปู่ดู่แต่งขึ้นมานั้น นอกจากท่านจะได้ทำการอธิษฐานบารมีให้ผู้สวดได้รับพลังจากพระรัตนตรัย อย่างมหาศาลแล้ว ยังก่อให้เกิด "พุทธนิมิต" เป็นวิมานแก้วพระพุทธเจ้า มาครอบสถิตย์ผู้สวดด้วย โดยมีลักษณะเป็นมณฑปแก้วจัตุรมุข ปรากฎฉัพพรรณรังสีหกประการ สว่างไสวพร้อมด้วยโพธิสัตตราวุธทั้ง 4 ประการ ประจำอยู่ทั้ง 4 ทิศ ได้แก่ พระมหามงกุฎ ตรีศูล จักรแก้ว และ พระขรรค์เพชร ทั้งหมดล้วนเป็นของคู่บุญบารมี ของพระศรีอาริย์โพธิสัตว์ โดยมี "พระมหามงกุฎ" เป็นศิราภรณ์ที่เปี่ยมไปด้วยบุญฤทธิ์ (หลวงปู่บุดดา ถาวโร พระอรหันต์ระดับจตุปฎิสัมภิทาญาณ ได้เคยนำมาถวายหลวงปู่ดู่เป็นพุทธบูชาอีกองค์หนึ่งด้วย)
ส่วนอาวุธที่เหลือทั้ง 3 ล้วนเป็นเทพศาสตราวุธชั้นสูง มีไว้เพื่อประดับบารมีแห่งพระโพธิสัตว์ และเปี่ยมไปด้วยอิทธิฤทธิ์อย่างยิ่ง หากสวดเป็นประจำสามารถอธิษฐานให้เกิดเป็นองค์พระพุทธนิมิตปางมหาจักรพรรดิ ได้ ซึ่งเปี่ยมไปด้วยอิทธิฤทธิ์และบุญฤทธิ์ มีความศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก ประดับด้วยเครื่องทรงแห่งพระมหาจักรพรรดิอย่างวิจิตรอลังการ เปล่งรัศมีหลากสีด้วยแสงแห่งรัตนอัญมณี เรียกว่า "พระมหาวิษิตาภรณ์" มาครอบสถิตย์ผู้ภาวนา บารมีของหลวงปู่ดู่ที่ท่านน้อมนำอธิษฐานจิต จึงมีความศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมาก เพราะท่านใช้บารมีทั้งหมดของท่านอัญเชิญกระแสบารมีแห่งพระรัตนตรัย และตั้งองค์พระพุทธนิมิตปางมหาจักรพรรดิบรรจุลงไปในวัตถุมงคลที่บารมีท่านมาประจุอีกด้วย
ส่วนบรรดาลูกหลาน ที่ได้มีโอกาสร่วมสร้างพระมหาธาตุเจดีย์แสงแก้ว บนสถานที่ตรัสรู้ของสมเด็จพระพุทธกัสสปะ และยังได้อัญเชิญ สมเด็จพระวิสุทธิพุทธรังษีบรมธรรมบิดา มาเป็นองค์ประธานยังพระมหาเจดีย์แห่งนี้อีกด้วย ก็ให้พากันร่วมสวดพระคาถาอริยทรัพย์บูชาพระบรมธรรมบิดา และเทพพรหมทั้งหลาย เพื่อความสุขความเจริญทั้งทางโลก และการดำเนินไปสู่พระนิพพานได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ภายใต้แสงทิพย์อริยธรรมของ พระบรมธรรมบิดา ในทุกๆขั้นตอนดังต่อไป
ล่าสุด อ.คุณแม่เกษร สุทธจิตฯ ศิษย์สำคัญของหลวงพ่อฤาษีฯได้เพิ่มเติมพระคาถานี้จากที่หลวงพ่อมาบอกท่านให้อีก คือพระคาถาอริยทรัพย์แผ่เมตตาไปทั่ว 3 โลกดังนี้ (9จบ)
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 ครั้ง)
นาสังสิโม พรหมมา จะมหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ(คาถาปัดอุปสรรค)
พรหมมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภวันตุเม
(คาถาเงินแสน)
มหาปุญโญ มหาลาโภ ภวันตุเม
(คาถาลาภไม่ขาดสาย)
มิเตพาหุหะติ
(คาถาเงินล้าน)
พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ นะมะพะธะ ละภะดะอะอุ
(คาถายอดพระกัณฑ์ปิฎก)
วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา
วิระอิตถิโย พุทธัสสะ มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม
(คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า)
สัมปะติจฉามิ
(คาถาเร่งลาภให้ได้เร็วขึ้น)
สัมปะจิตฉามิ (คาถาอภิญญาคืนคุณไสย)
โสตัตตะภิญญา (คาถาอภิญญารวม)
ขีณาสวา อนิยตา นิพพานสุขขัง (คาถาตัดกิเลส)
เพ็ง เพ็ง พา พา หา หา ฤา ฤา (คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า).....
บทอัญเชิญพระเข้าตัว และแผ่เมตตาใช้ได้ทั้ง 2 อย่าง ตามที่จิตเราตั้งเป้า
ขั้นตอนนี้ระลึกถึงหลวงปู่ดู่ ขอสัพเพฯ 3 ครั้ง อัญเชิญพระเข้าตัว
สัพเพพุทธา
ด้วยอำนาจแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
สัพเพธัมมา
ด้วยอำนาจแห่งพระธรรมทั้งหลาย
สัพเพสังฆา
ด้วยอำนาจแห่งพระสงฆ์ทั้งหลาย
พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะ ยังพะลัง
ด้วยอำนาจแห่งพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย
อะระหันตานัญ จะเตเชนะรักขัง พันธามิ สัพพะโส
(3 หรือ 5จบ)
ด้วยอำนาจแห่งพระอรหันต์เจ้ารักษา(พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระสงฆ์)ทั้งหมดทั้งมวล ขอให้เป็นไปตามคำอธิษฐาน
พุทธังอธิษฐามิ
ข้าพเจ้าขออธิษฐานด้วยอำนาจแห่งพระพุทธเจ้า
ธัมมังอธิษฐามิ
ข้าพเจ้าขออธิษฐานด้วยอำนาจแห่งพระธรรม
สังฆังอธิษฐามิ
ข้าพเจ้าขออธิษฐานด้วยอำนาจแห่งพระสงฆ์
(ให้อธิษฐานเอา)

บทสัพเพนี้เป็นบทน้อมนำพลังงาน กล่าวอัญเชิญพลังงานบุญบารมีของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย โดยมีบารมีรวมของหลวงปู่ดู่เป็นที่สุด เมื่อกล่าวบทนี้ โดยนึกถึงหลวงปู่ดู่ก่อน ท่านจะเป็นผู้น้อมนำดึงกระแสพลังงานบุญบารมีจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายใน สากลจักรวาลมาผ่านที่ตัวเรา จากนั้นกระแสบุญดังกล่าวจะไปตามเจตนา หรือคำอธิษฐานที่เรากำหนดจิตเอาไว้
ตรงนี้หลายท่านอาจยังสงสัยว่า ทำไมทำได้ คำตอบคือ ท่านเป็นพระบรมโพธิสัตว์ที่บารมีเต็มแล้ว ทั้งยังบำเพ็ญบารมีพิเศษต่ออีกนานนับกัปป์ไม่ถ้วน ช่วงยืดพระศาสนานี้ จึงเป็นวาระของท่านที่จะลงบารมีมาช่วย หากไม่ช่วยแล้ว เป็นการยากที่จะฟื้นฟูจิตใจคนให้เจริญอย่างก้าวกระโดดได้ เนื่องเพราะกระแสวัตถุนิยม ที่เหนือกระแสแห่งจิตวิญญาณกระแสแห่งความดีงาม ช่างรุนแรงเหลือเกิน เรียกว่ายุคนี้ผู้คนแม้ศีล 5 ยังปฏิบัติได้ยาก อย่าว่าแต่ศีล 8 หรือกรรมฐานเลย แตกต่างจากยุคโบราณเช่นสมัยสุโขทัยมากนัก คนในยุคนั้นไม่ค่อยมีใครตกนรกกัน ด้วยเพราะผู้คนรักสงบมีศีลมีธรรม
เรื่องภัยพิบัติต่างๆ ผู้มีธรรม และคุณธรรมพิเศษต่างช่วยกันยืดเวลาออกไป แต่ยิ่งยืดเวลา รังแต่จะยิ่งบ่มเพาะเชื้อพันธุ์แห่งกระแสไม่ดีให้โตยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เข้าทำนองเงินต้นไม่คืน ดอกเบี้ยไม่ใช้ แถมใช้อย่างฟุ่มเฟือยอีก สักวันจะพังทั้งระบบไม่หลงเหลืออะไร เมื่อวิบัติกาลมาเยือน
ด้วยประการนี้ หลวงปู่ท่านจึงถ่ายทอดและทำวิชาเปิดโลกนี้ให้ โดยท่านต้องการให้คนมีธรรม ตั้งแต่อ่อนจนละเอียดตามลำดับคือ ทาน ศีล ภาวนา โดยท่านทำกุศโลบาย สร้างพระคู่ชีวิต พระสารพัดใช้มาให้ ด้วยหวังให้คนได้ใช้บรรเทาทุกข์ตัวเองในเบื้องต้น บรรเทาทุกข์ผู้อื่นในท่ามกลาง บรรเทาทุกข์แห่งสังคมในที่สุด เมื่อสังคมย่างเข้าสู่ชาววิไลย์อีกครั้ง ผู้คนก็จะเข้าใจแก่นธรรม เพิกเฉยต่อเปลือกต่าง ๆ ที่นั่นความสงบสุขที่แท้จริงจะบังเกิด เกิดเพราะผู้คนในสังคมมีธรรมมะ
การจะปฏิบัติธรรมในยุคเร่งรีบ ยุคก้าวกระโดด ยุคสงครามระหว่างกระแสโลกีย์กับธรรมมะนี้ จึงต้องใช้วิชาเบ็ดเสร็จที่ง่าย แรง เร็ว ซึ่งวิชาเปิดโลกของหลวงปู่ ท่านมีคำตอบให้แล้วทั้งหมด ขอเพียงคำอธิษฐานนั้นมีประโยชน์ และไม่เอื้อด้วยกิเลส หากคำอธิษฐานนั้นเป็นมิจฉาทิฐิ หลวงปู่ก็จะไม่รวมบารมีมาให้ (นับว่าเป็นการดี และปลอดภัยมาก)
แต่ก่อนนี้ การจะส่งวิญญาณสักดวง ต้องทำสังฆทาน วิหารทานก่อน จากนั้นก็กรวดน้ำ กรวดแบบระบุชื่อเจาะจงด้วย วิญญาณไร้ญาติก็โชคร้ายไป แต่หากใช้วิชาเปิดโลก เพียงแต่ขอหลวงปู่ให้ส่งบุญให้ บุญทั้งหลายทั้งหมดทั้งมวลตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ของทั้งเราเอง และพระโพธิสัตว์ทั้งหมดทั้งมวล จำนวนนับอสงไขยไม่ถ้วน จะถูกรวม และส่งไปตามคำอธิษฐานของเรา อย่าว่าแต่วิญญาณดวงเดียวเลย หากเขามาโมทนาสักล้านดวง ล้านดวงวิญญาณนั้นก็จะได้รับบุญกันถ้วนหน้า
เรื่องเหล่านี้อาจจะดูเหลือเชื่อ นับเป็นปัจจัตตังที่รู้ได้เฉพาะตน ต้องขอให้ท่านทดลองดูเองเถิด…
คำอธิษฐานแผ่บุญหลังสวดมนต์
ข้าพเจ้า ......(นามของท่าน)...ผู้เป็นผู้รับใช้พระพุทธศาสนา ขอนอบน้อมและน้อมนำบารมีรวมแห่ง สมเด็จพระบรมธรรมบิดา พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอริยบุคคลทุกชั้นภูมิ พระโพธิสัตว์ และพระบรมมหาจักรพรรดิทุกๆ พระองค์ โดยตั้งแต่อดีต ปัจจุบันและอนาคต โดยมีบารมีรวมของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญเป็นที่สุด
ในส่วนอักษรสีแดงนี้สำคัญมาก เพราะหากไม่อ้าง หรือกำหนดจิตอ้างดังกล่าวแล้ว บารมีที่ส่งไปจะเป็นของเราเองซึ่งน้อยมาก แต่เมื่อเราอธิษฐานด้วยวิธีนี้จนเกิดความเคยชิน เพียงแค่นึกถึงหลวงปู่ ซ้อนภาพหลวงปู่ในกายเรา ก็สามารถทำได้แล้ว หลวงตาว่ากระแสจิตของหลวงปู่รับรู้เร็วมาก ช่วงที่เรานึกถึงหลวงปู่ 1 ครั้ง กระแสจิตไป-กลับ 7 รอบแล้ว
ขอพระบารมีอันหาที่สุดมิได้นี้ ฝากไปกับแสงทิพย์อริยธรรมของพระบรมธรรมบิดา โปรดจงส่งไปให้ถึงภพภูมิต่างๆทั้งหลายในทั่วทั้ง 3 แดนโลกธาตุ อันประกอบไปด้วยเทพ 6 ชั้น พรหม 20 ชั้น เทพพรหมทุกชั้นฟ้ามหาสมุทรโดย ทั่วทั้งหมื่นแสนโกฏิจักรวาล เทพพรหมเทวาที่เกี่ยวพันกับหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ หลวงตาม้า เทพพรหมเทวาที่เกี่ยวพันเกี่ยวข้องกับข้าพเจ้า โดยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและอนาคต ท่านปู่พระอินทร์เจ้าฟ้า ท่านท้าวจตุมหาราชทั้ง 4 พระยายมราชพร้อมด้วยบริวารทั้งหมด
พระศรีสยามเทวาธิราชทุกๆพระองค์ วีรบุรุษและวีรสตรีทั้งหลาย ที่คอยปกป้องรักษาแผ่นดินสยาม โอปะปาติกะทั้งหลาย พระฤาษีและดาบสทั้งหลาย ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองทุกๆจังหวัด พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระราหูวราหก เจ้ากรุงพาลี แม่พระธรณี แม่พระคงคา แม่พระโพสพ พระเพลิง พระพาย พระพิรุณ พญาครุฑ-พญานาคพร้อมด้วยบริวาร คนธรรพ์ ชาวเมืองลับแล
และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้าได้เคยไปอธิษฐานไว้ ตลอดจนถึง สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย สรรพสัตว์ในดินแดนอบายภูมิทั้งหลายทั้งหมดทั้งสิ้น ขอโปรดจงได้รับมหากุศลผลบุญบารมีนี้ โดยถ้วนทั่วทุกตัวตน ทุกคนทุกท่าน เทอญ…(ตั้งใจโน้มนำบุญและแผ่บุญออกไปด้วยบทสัพเพฯ)....ลูกขอฝากพลังงานบุญกุศลทั้งมวลไปกับแสงทิพย์ของ สมเด็จพระบรมธรรมบิดา ออกไปทั่วเครือข่าย cellular stations ที่ลูกได้ติดตั้งไว้ทั่วอนันต์จักรวาล และขอนำบุญกุศลของพวกข้าพเจ้าทั้งมวล นำไปสมทบกับภูเขาบุญของหลวงปู่ดู่ที่เหนือท้องฟ้าวัดสะแก..ขอหลวงปู่ดู่ร่วมโมทนาบุญกับลูกหลานทุกๆท่านทุกๆคนด้วยเถิด
นี่เป็นตัวอย่างเช่นกัน จะย่นย่อ หรือกล่าวนามเทพ-พรหม สิ่งศักดิ์สิทธิ์อันใดเพิ่มเติมก็แล้วแต่จริตครับ การแผ่บุญอย่างนี้ดวงวิญญาณทั้งหลายที่กล่าวมาจะถึงแน่นอน แต่จะได้รับหรือไม่ขึ้นกับว่า เขารับหรือไม่ หรือกระแสมิจฉาทิฐิครอบเขาจนกระทั่งไม่รับรู้อะไร ไม่ยอมรับอะไรหรือไม่ ด้วยเหตุนี้เป็นคำตอบที่ว่า บางทีต้องไปปรับภูมิถึงที่ ก็เหมือนกับเรานั่งอ่านพระไตรปิฎก กับไปฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าโดยตรง ตรงแทบพระบาทท่าน ธรรมมะเหมือนกัน แต่การเข้าถึง การเข้าใจย่อมแตกต่างกัน(มาก) เรื่องนี้ก็เปรียบเทียบได้เช่นเดียวกัน... เมื่ออธิษฐานเสร็จแล้ว ส่งพลังงานบุญกุศลไปกับบทสัพเพฯและแสงทิพย์
สัพเพพุทธา สัพเพธัมมา สัพเพสังฆา
พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะยังพลัง
อรหันตานัญ จะ เตเชนะรักขัง พันธามิ สัพพะโส
ในระหว่างนี้ให้วางจิตเบา ๆ โน้มนำพระบารมีเข้าตัว หรือผู้ที่ได้แล้ว จะเห็นเองว่าจะมีพระบารมีเข้าตัวเป็นแสงสว่างวาบไปหมด ในขณะเดียวกัน แสงนั้นก็พุ่งตรงไปยังดวงวิญญาณที่จะปรับภพ ปรับภูมิให้ แต่ทั้งนี้ ไม่ใช่ดวงวิญญาณทุกดวงที่จะได้รับบุญ บางวิญญาณที่มีมิจฉาทิฐิ หรือมีโมหะ คือ ไม่รู้เรื่องว่าโมทนาคืออะไร ก็จะยังไม่ได้รับ เราก็ต้องสัพเพฯ หลาย ๆรอบ จนบารพระท่านครอบกายทิพย์สว่างเย็นไปหมด ช่วยโน้มนำให้วิญญาณนั้นละพยศและความเขลานั้นได้สำเร็จ
พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ
แสงทิพย์อริยธรรมของพระบรมธรรมบิดา อธิษฐามิ
การนำไปใช้จริง
  1. ให้ หมั่นอุทิศบุญดามวิธีดังกล่าวอยู่เสมอไม่ว่าจะเดินทางไปในที่แห่งไหน โดยเฉพาะเวลาไปจ่ายตลาดในตลาดสด วิญญาณสัตว์ที่พึ่งตาย หรือที่ค้างอยู่มีมหาศาลทุก ๆวัน ตามป่าช้าหรือข้างทางที่เราเดินทางไปทุกที่ พร้อมทั้งอธิษฐานให้ทรงทั้งยามหลับยามตื่น เพราะเหล่าวิญญาณจะได้โมทนาได้ตลอด บางทีก็ครอบให้เสร็จสรรพ แบบมัดมือให้เลย การเดินทางไปต่างจังหวัดแต่ละทีก็เก็บได้มหาศาล
ยิ่งทำบ่อยๆยิ่งคล่องครับ ถ้าทำคล่องแล้วต่อไปเวลากำหนดแผ่ก็กำพระ แล้วน้อมกำลังบุญไปได้ แค่กำหนดจิตชั่วขณะโดยไม่ต้องใช้คำพูดก็ยังได้ ขอแค่ให้ใจทรงกำลังทั้งหมดที่อาราธนามาในขณะนั้นได้ก็พอ แล้วก็กำหนดแผ่ไปได้เลย ขณะกำพระ แต่ถ้าเป็นการอธิษฐานใหญ่หรือการสวดมนต์ประจำวัน ก็อธิษฐานใหญ่ตามเนื้อหาด้านบนได้เลย แล้วก็แผ่ไปทั่ว 3 โลก ไม่ว่าพรหมโลก เทวะโลก มนุษยโลก ภพภูมิน้อยใหญ่ต่างๆ นรกโลก และทุกๆ อบายภูมิ ผู้มีพระคุณแก่ข้าพเจ้า ครอบครัว เพื่อนฝูง คนที่เกี่ยวข้องเกี่ยวพันกับข้าพเจ้าทุกๆคน ญาติข้าพเจ้าทั้งหมดในโลกทิพย์ บริวารข้าพเจ้าทั้งหมด เทวดาประจำตัวข้าพเจ้าทั้งหมด เจ้ากรรมนายเวรข้าพเจ้า
2. ก่อนทานอาหาร หลวงตาแนะนำให้ส่งวิญญาณด้วย ให้ทำจนเป็นนิสัย เนื้อไม่ว่าชิ้นเล็กชิ้นน้อย จะเป็นชิ้น หรือเป็นน้ำก็มีกระแสโยงถึงวิญญาณเจ้าของธาตุนั้นได้ ส่งให้เนื้อ กระแสบุญจะส่งถึงวิญญาณเอง ให้อธิษฐานส่งให้ถึงสายใยอาหารของเนื้อนั้นทั้งหมดทั้งมวลด้วย ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดทั้งมวล ตั้งแต่อดีต ถึงปัจจุบัน และอนาคต
คำอธิษฐานรวมบุญ
เพื่อความคล่องตัวในเรื่องการเงิน และทุก ๆเรื่อง เป็นการเบิกบุญเก่า และบุญใหม่ที่ยังไม่ให้ผลให้ส่งผลเร็วขึ้น(ควรอธิษฐานทุกวัน)
ก่อนการรวมบุญก็อัญเชิญภพภูมิทั้ง 3 แดนโลกธาตุมาร่วมรวมกองบุญด้วย จะทำให้เกิดกำลังที่มากขึ้น โดยอาจกล่าวสั้น ๆว่า “ ด้วยพระบารมีแห่งแสงทิพย์อริยธรรมของ พระบรมธรรมบิดา ขอเชิญภพภูมิทั้ง 3 แดนโลกธาตุ เพื่อนผองบริวารทั้งหลายทั้งปวง ผู้มีพระคุณทั้งปวง ขอเชิญมาร่วมรวมกองบุญไปพร้อมกันกับข้าพเจ้าเถิด ”
ข้าพเจ้า ผู้เป็นผู้น้อมอุทิศร่างกายรับใช้งานพระพุทธศาสนา ขอน้อมนำบารมีรวม แห่ง สมเด็จพระบรมธรรมบิดา พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอริยบุคคลทุกชั้นภูมิ พระโพธิสัตว์ โดยมีบารมีแห่งองค์ สมเด็จองค์ปฐมบรมมหาจักรพรรดิเป็นประธาน มีบารมีรวม พระมหาจักรพรรดิของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญเป็นที่สุด ขอได้โปรดรวมกำลังบุญบารมีทั้ง 10 ทัศ อันได้แก่ ทาน, ศีล, เนกขัมมะ, ปัญญา, วิริยะ, ขันติ, สัจจะ, อธิษฐาน, เมตตา, อุเบกขา ของข้าพเจ้า เพื่อนำมาใช้เป็นกำลัง ให้มีความคล่องตัวในทุกๆเรื่อง
อันใดติดขัด ขอให้คล่องตัว อันใดคล่องตัวอยู่แล้วขอให้คล่องตัวยิ่งๆขึ้นไป โดยขึ้นชื่อว่าความอด ความอยาก ความยาก ความจน ความไม่มี และการรอคอย จงอย่าได้บังเกิดมีในข้าพเจ้า ผู้เป็นผู้รับใช้แห่งพระพุทธศาสนา นับตั้งแต่กาลบัดเดี๋ยวนี้ ตราบจนข้าพเจ้า เข้าสู่พระนิพพานด้วยเถิด และโดยเฉพาะกาลนี้ ขอให้มีความคล่องตัวในเรื่อง ...(อธิษฐานขอพิเศษเอา).....ตัวอย่างเช่น.... ขออริราชศัตรูทุกตัวตนในทุกมิติ บนแผ่นดินของ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มีเนื้อที่มากกว่า 1.2 ล้านนตารางกิโลเมตร จงวินาศ ...สันติ สัมปฏิจฉามิ สัมปจิตฉามิ.
ที่กล่าวว่า “ผู้เป็นผู้รับใช้พระพุทธศาสนา” ก็ด้วยเป็นกุศโลบายโน้มใจให้คนเข้าถึงพระไตรสรณะคมณ์เพื่อปิดอบาย และเร่งนิพพานนั่นเอง
ตรงส่วน “รวมกำลังบุญบารมีทั้ง 10 ทัศ ….” นี้ด้วยหากเป็นการรวมทั่วไปจะคิดกันแค่เรื่องทาน ทำให้คล่องตัวแต่เรื่องการเงินเท่านั้น บุญอย่างอื่นเช่น ปัญญา เมตตา (บริวาร ผู้มาช่วยเหลือ) ก็จะไม่มี จึงให้กล่าวบารมีรวมทั้ง 10 ทัศ ทำให้เกิดความคล่องตัวในทุกเรื่องนั่นเอง แต่สำหรับเหล่าพระโพธิญานนั้นให้อธิษฐานเต็มที่สูงสุดไปเลยนั่นคือ "รวมกำลังบุญบารมีทั้ง 10 ทัศถึง 30 ทัศ" เพื่อพลานิสงส์อันสูงสุด....อธิษฐานเสร็จแล้วสัพเพฯฝากไปกับแสงทิพย์ของ พระบรมธรรมบิดา
สัพเพพุทธา สัพเพธัมมา สัพเพสังฆา
พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะยังพะลัง
อรหันตานัญ จะ เตเชนะรักขัง พันธามิ สัพพะโส
ในระหว่างนี้ให้วางจิตเบา ๆ โน้มนำบุญบารมีเข้าตัว หากใจนิ่งสบาย ๆ แล้ว จะสัมผัสอารมณ์อิ่มเอิบอย่างประหลาดได้ในช่วงนี้
พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ
แสงทิพย์อริยะธรรมของพระบรมธรรมบิดา อธิษฐามิ
สำหรับท่านที่จะนั่งสมาธิต่อ ตามกำหนดเวลาที่ต้องการ หรือจะให้กายและใจใช้รูปแบบของทฤษฎีโพเพทัส แล้วแยกจิตออกจากกาย ....ตรงนี้สำหรับผู้ที่เคยได้รับดอกบัวแก้วจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก่อน ท่านสามารถนำกายทิพย์หรือพลังจิตเข้าไปนั่งอยู่ในดอกบัวแก้ว หมุนอยู่ในพระอุทรของพระบรมธรรมบิดา หรือผู้ที่จิตยังผูกพันกับกายอยู่ ก็ขอให้นึกให้ดอกบัวแก้วกลายเป็นจักรแก้วอันคมกริบ หมุนตัดร่างกายให้เป็นผุยผงตั้งแต่ศรีษะลงมาถึงเท้า จนจิตเริ่มไม่เกาะร่างกายอีกต่อไป หรือเห็นร่างกายสลายไปหมดสิ้น จิตก็จะไม่ห่วงใยกายเนื้ออีกต่อไป
ส่วนผู้ที่เคยแยกจิตออกจากกายโดยวิธีในมหาสติปัฏฐานสูตรมาก่อน ก็นึกแยกกายทิพย์ใส่เอาไว้ในดอกบัวแก้ว สำหรับรองนั่งปฏิบัติวิปัสสนาในพระอุทรของพระบรมธรรมบิดาได้ทันที ปล่อยให้ใจและกายทำหน้าที่ในทฤษฎีโพเพทัสต่อไป จนครบเวลาชีวะภาพที่กำหนดเอาไว้ จิตก็จะถอนออกมาตรงกำหนดเวลาที่ตั้งไว้ล่วงหน้า แล้วทำการรวมบารมี 10 แผ่ส่วนกุศลอีกครั้งหนึ่ง เป็นรอบที่ 2
** ให้อธิษฐานรวมบุญทุกวัน เช้าตอนก่อนออกทำงาน-ก่อนนอน หากได้เวลา 20.30 น.ด้วยยิ่งดีมากครับ
คำอธิษฐาน ฝึกจิต เร่งสมาธิ เร่งนิมิต
ข้าพเจ้า ......(นามของท่าน)...ผู้เป็นข้ารับใช้แห่งพระพุทธองค์ และสมเด็จพระบรมธรรมบิดาขอนอบน้อมและน้อมนำบารมีแห่งพระพุทธเจ้า แสงทิพย์พระบรมธรรมบิดา พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอริยบุคคลทุกชั้นภูมิ พระโพธิสัตว์ และพระบรมมหาจักรพรรดิ ตั่งแต่อดีต ปัจจุบันและอนาคต ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆกันมา โดยมีบารมีรวมของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญเป็นที่สุด ขอได้โปรดยกจิตของข้าพเจ้า ขึ้นสู่ภาวะ พระกรรมฐานทั้ง 40 ทัศ พระปิติทั้ง 5 และวิปัสสนาญาณทั้ง 9 ขอพระกรรมฐานทั้ง 40 ทัศ พระปีติทั้ง 5 และวิปัสสนาญาณทั้ง 9 จงมาบังเกิดปรากฏ ในกายทวาร ในวจีทวาร ในมโนทวาร ของข้าพระพุทธเจ้า ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด
ขอได้โปรดยกจิตของข้าพเจ้า ขึ้นสู่ภาวะเปิดโลก สามารถกำหนดจิต รู้ภาวะการณ์ต่างๆทั้งเหตุ ผล อดีต อนาคต และปัจจุบัน ได้ทุกขณะจิตที่ปรารถนาจะรู้ เมื่อรู้แล้วขอให้เห็นภาพนั้นได้ชัดเจนแจ่มใสและพยากรณ์ได้ตามความเป็นจริง ทุกๆประการ เหตุที่จะพึงบังเกิดแก่ข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้าได้รู้เหตุนั้นโดยมิต้องกำหนดจิตแม้แต่ประการใด ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด
บทนี้ปรับปรุง(เล็กน้อย) จากบทสมาทานพระกรรมฐานของหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง ใช้อธิษฐานทุกเช้า และก่อนนั่งสมาธิประจำวัน ช่วยกำหนดให้นิมิตไม่ผิดพลาด ไม่เกิดอุปาทานเข้าแทรก
เมื่อกล่าวถึงอุปาทาน หลายท่านอาจจะวิตกว่า การแผ่บุญหรือวิชาอะไรต่าง ๆ จะเป็นอุปาทานด้วย ขอได้เข้าใจอีกครั้งว่า แม้ท่านจะไม่เห็นนิมิตใด ๆเลย หรือเห็นแจ่มแจ้งก็ตาม หากเรื่องนั้นมีประโยชน์หลวงปู่ท่านอนุเคราะห์แน่นอน ขอให้เข้าใจว่าเรามิได้ใช้กำลังของเราล้วน ดังการเดินวิชาอย่างโบราณ แต่อุปาทานจะเกิดได้ มักเกิดจากการที่เรานำวิชาไปในทางที่ไม่ค่อยมีประโยชน์ เช่น ไปอวดนั่นอวดนี่ แสดงความเก่งกล้า ทำนายนั่นทำนายนี่ที่ไม่มีสาระ ไม่ทำให้ใจเจริญขึ้น ไม่เป็นไปเพื่อการสร้างบารมีหรือการหลุดพ้น……สาธุ….
ลูกขอกราบขอบพระตุณหลวงปู่ดู่ และพระทุกพระองค์ที่แทบพระบาท และขอโมทนาบุญกุศลกับทุกๆท่านที่ได้มาร่วมสวดมนตร์ไหว้พระ และสวดพระคาถามหาจักรพรรดิ ในทุกวาระตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ตลอดไปกับทุกท่านโดยทั่วกัน ขอความสุขความเจริญที่ทุกท่านปรารถนา จงเป็นผลสมบูรณ์ ฉับพลัน และต่างได้รับแสงทิพย์นิพพานของ พระบรมธรรมบิดา นำทางเข้าพระนิพพาน ทันใดได้ตามปรารถนาเทอญ

ลองอ่านดูนะครับ แล้วจะรู้ว่าหลวงปู่นี้รักเรามาก หาหนทางอย่างง่าย ๆ หลอกให้เราปฏิบัติ(กุศโลบาย) ตั้งแต่ปิดนรก ยันนิพพานเลย.....
(ท่านผู้รู้อย่างหลวงปู่ดู่ ท่านบำเพ็ญบารมีมานานมาก จึงมีความละเอียดละออในทุกเรื่อง และรู้เห็นในเรื่องต่างๆด้วยญาณทัสสนะของท่าน การศึกษาแต่ละขั้นตอนจึงต้องค่อยๆพิจารณาตามไปให้เข้าใจเด่นชัด หรือหากท่านที่ใช้มโนมยิทธิตามไปในทุกๆเรื่องที่หลวงปู่ท่านแนะนำ ก็จะเห็นภาพต่างๆที่เกี่ยวข้อง มิใช่เพียงอ่านตัวหนังสือ เปรียบเสมือนผู้ที่ได้ดูวีดิโอ ไม่ใช่รับฟังแต่เสียงอย่างเดียว ก็จะยิ่งเข้าใจระเบียบปฏิบัติที่หลวงปู่นำมาสั่งสอนอบรมเอาไว้ ได้เป็นอย่างดี ไม่ใช่สอนตามตำราหรือ ตามสมมุติฐาน หลวงปู่ท่านสอนจากสัจจธรรมความจริง ทั้งหลายทั้งปวงในโลกียภูมิ และโลกุตรภูมิ)
เมื่อได้นำมาพิจารณาดูหลายๆรอบแล้ว โดยเฉพาะบรรดาลูกหลาน ของ หลวงปู่ดู่และพระพุทธกัสสปะ ที่ได้ร่วมกันก่อสร้างพระมหาธาตุเจดีย์แสงแก้ว และผู้ที่มีโอกาสได้กราบสักการะ และทราบข่าวเรื่องราวอันเป็นมหามงคลต่างๆ ของพระมหาธาตุเจดีย์แห่งนี้ และรอยพระพุทธบาท ทั้ง 4 รอย ในภัทรกัปนี้ บนเชิงเขาฟากตรงกันข้ามกับองคฺ์มหาพระเจดีย์ที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 5.9 กิโลเมตรนั้น
สามารถนำวิธีการสวดมนตร์และปฏิบัติกรรมฐาน ในบริเวณโดยรอบพระมหาเจดีย์ ในแนวทางของหลวงปู่ดู่ เพื่อเพิ่มพลัง ให้แก่ตนเอง และส่งเสริมเพิ่มพลังบุญบารมี ให้แก่สรรพสัตว์ทั่วทั้ง 3 โลก ได้มีโอกาสมาร่วมสวดมนตร์ ทำกรรมฐานร่วมกัน และโมทนาบุญร่วมกัน อันเป็นการสร้างมหากุศล อย่างยิ่งใหญ่ ยากที่จะหาสถานที่ใดปานเปรียบ ทุกๆฝ่ายได้เพิ่มกำลัง โดยทางลัด เพื่อไปพระนิพพาน ทั้งในภาคมนุษย์ซึ่งดูไปแล้วเพียงน้อยนิด แต่ภาคพลังงาน ทุกภพภูมิในมิติต่างๆที่ได้รับแสงสงเคราะห์จากพระบรมโพธิสัตว์ และหลวงปู่ดู่นั้น มีมากมายนับเหลือคณานับทีเดียว ที่ต้องการมาร่วมเพิ่มพลังด้วยในแต่ละคราวด้วยแสงสงเคราะห์ของพระบรมโพธิสัตว์
และการที่บรรดาลูกหลานทุกท่าน ได้มีโอกาสมาร่วมทำความดีตรงนี้จะ ได้รับการโมทนาสาธุจากพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ที่มีเสด็จพ่อเกิดแม่เกิดของทุกๆท่าน และทุกๆคน คือ สมเด็จพระบรมธรรมบิดา เป็นองค์ประธาน เมื่อพระองค์ท่านทรงเป็นประธานอยู่ ณ แห่งหนใด ย่อมจะมี เทพพรหม ทุกชั้นฟ้า เสด็จมาเฝ้าพระองค์ท่านอย่างเนืองแน่น หรือเปิดทั้ง 3 โลกนั่นเอง และต่างก็จะได้ รับแสงทิพย์นิพพาน โดยทั่วกัน ช่วยเพิ่มพลังบุญบารมีนับเท่าทวีคูณ ให้แก่ลูกหลานที่เป็นมนุษย์ และเทพพรหมทุกท่านอีกด้วย ได้บุญเพิ่มขึ้นอีกหลายเด้งพร้อมๆกัน
การปฏิบัติอันเป็นมหามงคลยิ่งนี้ ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ นอกจากสร้างความเข้าใจ เข้าถึงเกิดความศรัทธา จิตจึงน้อมเข้้ามา ย่อมจะเกิดผลดีต่อบรรดาลูกหลานทุกคน ที่สะพานเดินข้ามหุบเหวมรณะ ไปยังฟากฝั่งพระนิพพาน จะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น แม้ในชาติปัจจุบันนี้
(ขออนุญาตแทรกความรู้สึกจากการปฏิบัติ ในทุกๆขั้นตอน ที่หลวงปู่ดู่สอนไว้
ที่บริเวณโดยรอบ องค์พระมหาเจดีย์แสงแก้ว ภาคมนุษย์ทุกคน ที่กำลังปฏิบัติ เราจะรู้สึกว่าตนเองต่างเป็นประหนึ่งตัวแทน หรือผู้ทำหน้าที่พิธีกรของงานที่สำคัญยิ่ง อยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของ สมเด็จพระบรมธรรมบิดา ต่อหน้าพระพักตร์ของ พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ตั้งแต่สมเด็จองค์ปฐมฯ ลงมาจนถึงองค์ปัจจุบัน พระธรรม พระอริยะสงฆ์สาวกทุกพระองค์ พระบรมโพธิสัตว์ทุกพระองค์ เทพพรหม ทุกชั้น ในทุกๆมิติ และสรรพวิญญานทั่วทั้ง 3 โลก ที่มีโอกาสได้มาร่วมพิธีสวดมนตร์และทำกรรมฐาน โดยการสงเคราะห์ทางเดินแสงของพระบรมโพธิสัตว์ให้ทุกท่านมายังสถานที่นี้ได้โดยไม่มีอุปสรรคขัดข้อง
เราจะได้ยินเสียงของเราที่มีสมาธิตั้งมั่น ด้วยศรัทธา ตั้งใจทำทุกสิ่งอย่างด้วยความเคารพ ต่อทุกๆพระองค์ในสถานที่นี้ ดังได้กล่าวแล้วข้างต้น จนกระทั่งจบการนั่งภาวนา หลังจากสวดบทพระมหาจักรพรรดิและคาถาอริยทรัพย์จบลงแล้ว ตามกำลังวัน หลังจากทำกรรมฐานเสร็จ เราก็จะนำสวดสัพเพฯ รับพระเข้าตัว และอธิษฐานรวมบุญ แผ่ส่วนกุศลด้วยบทสัพเพฯ โดยอาศัยบารมีรวมของหลวงปู่ดู่ช่วยสงเคราะห์ ไม่ว่าจะเป็นการแผ่บุญกุศลไปทั่วทั้ง 3 โลก เราก็จะฝากบุญไปกับแสงทิพย์ของ พระบรมธรรมบิดา ด้วย
ทีนี้ขอวกกลับมาที่การทำสมาธิ สำหรับท่านที่ยังไม่ถึงขั้นแยกจิตออกจากกาย ท่านก็มีอุปกรณ์ช่วย โดยนึกถึง ภาพมหัศจรรย์ ที่ สมเด็จพระพุทธกัสสปะ ได้ทรงซ้อนภาพมิติมหัศจรรย์เอาไว้ให้ ที่ภาพหลวงปู่ครูบาวงศ์ ที่อยู่ในบริเวณพระมหาเจดีย์ โดยท่านจะนึกถึงภาพนี้ เมื่อถวายตนกับพระรัตนตรัย ซึ่งในภาพมีครบทั้ง 3 ประการ สมเด็จพระพุทธกัสสปะ ท่านจะให้การสงเคราะห์แก่ลูกหลานที่นึกถึงพระองค์ท่าน ให้เราทำใจให้เป็นหนึ่ง เสมือนพระบรมธาตุของพระองค์ท่าน ที่มีแสงรัศมีแพรวพราว นั่งกำหนดจิต ในภาพต่อไปจนกระทั่ง พระมหาเจดีย์แก้ว ที่ทรงให้ไว้ในภาพ 2 องค์รวมกันเป็นพระมหาเจดีย์แก้วเพียงองค์เดียว จิตของท่านเริ่มรวมเป็นหนึ่ง และถ้าท่านโชคดีจิตของท่าน หรือตัวในของท่านอาจเข้าไปนั่งอยู่ในพระเจดีย์แก้วอยู่เพียงผู้เดียว
จะนึกให้พระมหาเจดีย์ใหญ่เล็กอย่างใดก็ได้ตามที่เราปรารถนา หากท่านมีโอกาสเช่นนี้ ให้ท่านจำภาพนี้เอาไว้ใช้ได้ตลอดชีวิต โดยในสภาวะเช่นนั้นจิตของท่านได้แยกออกจากกายเนื้อ โดยสมเด็จฯท่านทรงให้การสงเคราะห์แก่ท่านแล้ว ให้ท่านนึกเอาไว้ตลอดเวลา การทำสมาธิของท่านก็จะบรรลุความสำเร็จไปแล้วขั้นหนึ่ง ไม่ต่างกับท่านได้ยึดหัวหาดของพระนิพพานได้แล้ว นั่นเอง
หรือบางท่านที่มีความเคารพรัก หลวงปู่ครูบาวงศ์ และภาพซ้อนของพระพุทธกัสสปะ จะใช้วิธีการในทฤษฎีโพเพทัสของหมอแกน ทำสมาธิกระตุ้นคลื่นเซลล์ให้ใจและกายปฏิบัติไปตามขั้นตอนในทฤษฎี ส่วนจิตยกไปจับภาพซ้อนมหัศจรรย์ของหลวงปู่วงศ์ที่พระมหาธาตุเจดีย์ จับภาพทำวิปัสสนาไปด้วย กำหนดเห็นพระบรมธาตุหรือแสงทิพย์รัศมีแวววาว และพระเจดีย์แก้วทั้ง 2 พระองค์ กำหนดภาพจนพระเจดีย์แก้วเคลื่อนเข้าซ้อนกันเป็นองค์เดียว นำจิตหนึ่งของเราเข้าไปรวมกับพระบรมธาตุให้เป็นหนึ่งเดียว แล้วค่อยๆเคลื่อนเข้าไปอยู่ในองค์พระเจดีย์แก้ว ที่มีรัศมีแพรวพราวออกไปรอบองค์ รักษาภาพนี้ไว้ตลอดการทำวิปัสสนา เมื่อได้แยกจิตไปทำวิปัสสนา ใจที่คอยกำกับกายทำสมาธิกระตุ้นคลื่นเซลล์ ไปจนครบกำหนดเวลาชีวภาพ จิตก็จะถอนออกจากการทำสมาธิและวิปัสสนา ตรงกับกำหนดเวลาที่ได้ตั้งใจไว้แต่แรกพอดีเป๊ะ แล้วจึงนึกน้อมถึงบารมีของหลวงปู่ดู่ แล้วสัพเพฯอัญเชิญพระเข้าตัวต่อไป
การนึกถึงภาพนี้หรือทรงภาพนี้เอาไว้ในจิตตลอดเวลา จะช่วยสะสมพลังงานคลื่่นความถี่สูงให้แก่จิตของท่านตลอดเวลา ต่อยอดการปฏิบัติสมาธิของท่าน อยู่ภายในพระมหาเจดีย์แก้ว เพื่อเดินมรรค ต่อไปให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ ส่วนพระท่านจะสงเคราะห์ให้ท่านเห็นสิ่งใด ก็กำหนดดูไปเฉยๆตลอดทั้งภาพอดีต และอนาคต จนทุกอย่างครบเป็นวงรอบ ในปฏิจจสมุปบาท รู้เหตุว่าเราจะตายอย่างไร เมื่อไรเป็นต้น เราตั้งตนเอาไว้ นึกถึงความตายเพื่อความไม่ประมาท ตั้งใจเดินมรรคต่อไปครั้งละนานๆหลายๆวัน ไม่สนใจว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น ขอตายในพระเจดีย์แก้ว แล้วท่านก็จะได้ดีเอง ลุถึงที่สุดในกิจอันพึงทำในพระพุทธศาสนา
ส่วนท่านที่ ได้เดินมาถึง มรรค หรือได้เคยแยกจิตออกจากกายแล้ว ไม่ว่าจะใช้วิธีมหาสติปัฏฐานสูตรต่างๆก็ดี หรือ วิชชาอภิญญาใหญ่ก็ดี หรือแสงทิพย์นิพพาน ของ สมเด็จพระบรมธรรมบิดา ก็ตาม เวลาท่านนั่งทำสมาธิอยู่ในบริเวณโดยรอบพระมหาเจดีย์ ท่านก็นั่งเฉยๆ นึกถึงอารมณ์จิต ในครั้งที่ท่านได้ถึง 'ทาง' หรือจิตแยกออกมาจากกาย ได้แล้วนั้น มาทำการต่อยอดสะสมพลังงานคลื่นความถี่สูงให้แก่จิตของท่าน เพื่อใช้ประหารกิเลสต่างๆที่จะค่อยๆทะยอยโผล่หน้ามาให้เห็นเป็นลำดับไปจน กระทั่งลุถึงความสมบูรณ์ของการบำเพ็ญมรรค
การตั้งใจตรงนี้จะแยกออกเป็น 2 ประเภท สำหรับผู้ที่เคยปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน จะนึกถึงกายทิพย์ที่ฝากเอาไว้ใน พระอุทรพระบรมธรรมบิดา นั่งอยู่บนดอกบัวแก้ว ที่ขอบารมี พระบรมธรรมบิดา หมุนดอกบัวตามเข็มนาฬิกา และโคจรไปรอบองค์พระบรมธรรมบิดา ตามเข็มนาฬิกา....นอกจากแยกจิตออกมาจากกายเป็นคราวๆแล้ว ยังสามารถระลึกถึงภาพนี้ได้ตลอดเวลา ที่กายเนื้อและใจปฏิบัติหน้าที่ทางโลก ส่วนเมื่อว่างจากหน้าที่ประจำเมื่อไร ก็กลับมาที่จิตซึ่งแยกออกจากกายแล้วนั้นทันที ทั้งนี้เพื่อสะสมพลังงานคลื่นความถี่สูงให้แก่จิตตลอดเวลา เสมือนการเดินมรรคตลอดเวลานั่นเอง
  • เพื่อทำประทักษิณบูชาพระคุณความดีของ พระบรมธรรมบิดา
  • หมุนเพื่อรับเข้าซึ่งบุญบารมีรวมของ พระบรมธรรมบิดา หรือการโมทนาสาธุบุญกุศลทั้งมวลของพระองค์ท่านเข้าสู่จิตวิญญานของเราตลอดเวลา และพร้อมที่จะจ่ายออกตลอดเวลาด้วยเช่นกัน หากรับให้เต็มเฉพาะตัวเรา แล้วไม่ดำริจ่ายออก ไม่เกิดประโยชน์ที่ควรจะเป็นที่ควรจะได้แก่ผู้อื่นๆอีกมากมาย พระบรมธรรมบิดา ส่งเสริมให้ลูกๆทุกคน เมื่อช่วยตนเองได้แล้ว ให้ช่วยกันทำหน้าที่ช่วยลูกๆของพระองค์ท่านอีกมากมาย มหาศาล ไปพร้อมๆกันด้วย พระองค์ท่านจึงย้ำให้ทุกคนทำหน้าที่ของตนต่อไป จนกว่าเข้านิพพาน ลูกๆที่ได้พบแสงทิพย์จึงเต็มใจยกสังขารร่างกายให้พระองค์ทรงใช้เป็นสถานีถ่ายทอดแสงทิพย์ได้ตลอดเวลาทั้งหลับและตื่น..(และตอนไปกราบลาคุณแม่เกษร ในวันไหว้ครู 8 ม.ค.2554 ซึ่งท่านกำลังเป็นตัวแทนของ พระบรมธรรมบิดา กำลังมาโปรดคลายทุกข์ให้แก่ลูกๆ ได้กราบเรียนพระองค์ท่านว่า บัดนี้ลูกได้ทำการติดตั้งสถานีลูกข่ายแสงทิพย์ ออกไปยังทุกๆสรรพสิ่งทุกๆชีวิต และวัตถุสิ่งของต่างๆทั่วอนันต์จักรวาล หลังจากได้ทราบปริศนาธรรมของพระองค์ท่านจาก รศ.ศุภางค์ เทียนนิมิตร ซึ่งพระองค์ท่านทรงบอกว่า...พ่อรอได้ยินคำพูดนี้ออกมาจากปากของลูกมานานทีเดียว พร้อมกับหันไปหยิบมีดหมอมากรีดที่ศรีษะ เป็นรางวัลให้หนึ่งที ต่อไปจะได้คิดได้ทำอะไรให้ไวๆหน่อย)
  • หมุนด้วยคลื่นความถี่สูงเพื่อตัดกิเลส โดยให้ดอกบัวแก้วกลายสภาวะเป็นจักรแก้วแทน
  • หมุนดอกบัวในสภาวะจักรแก้วตัดสังขารร่างกาย ตั้งแต่ศรีษะลงมาที่เท้า ขึ้นลงๆบ่อยๆให้ร่างกายธาตุ 4 สลายตัวคืนให้กับโลกไป...เมื่อไร้กายสังขาร วิญญานทั้ง 6 ตัวยุ่งปรุงแต่งสารพัด ก็ฉิบหายไป เนื่องจากต้นเหตุถูกขจัดทิ้งไป
  • หมุนเพื่อแผ่เมตตาจิต ในแถบคลื่นสีเหลือง ไปกับแสงทิพย์ให้แก่สรรพสัตว์ทั่วทั้ง 3 โลกตลอดเวลา แล้วยังสามารถนึกขอบารมี พระบรมธรรมบิดา โคลนนิ่งกายทิพย์ของเรานั่งบนดอกบัว ออกไปไม่จำกัดจำนวน ไปหมุนช่วยสงเคราะห์สัมภเวสี ในสถานที่ต่างๆได้เป็นครั้งคราวได้อีกด้วย เป็นประโยชนเมื่อเกิดการเสียชีวิตเป็นหมู่ใหญ่อย่างปัจจุบันทันด่วน ผู้คนไม่ทันตั้งตัว นำพาบุญแสงทิพย์ไปช่วยดึงจิตวิญญานพวกนี้ ได้เปลี่ยนมิติไปอยู่สวรรค์ก่อน
ดังนั้นการหมุนของดอกบัว จึงได้ทั้งประโยชน์ตนประโยชน์ท่านพร้อมกันไปในทีเดียว...อภิญญาใหญ่มีปฏิบัติการได้ครอบคลุมกว้างขวางมาก อยู่ที่จิตของเราดำริให้ยังคุณประโยชน์เกิดแก่เพื่อนๆสรรพสัตว์ผู้ร่วมทุกข์ ได้พบหนทางสว่างด้วยแสงทิพย์นั่นเอง.... ส่วนอีกประเภทที่มุ่งเป็นสาวกภูมิโดยแท้ อาจกำหนดความโล่งว่างด้วยแสงทิพย์นิพพาน อยู่กับสภาวะอารมณ์ที่ได้ทำสมาธิ จิตแยกออกจากกายมาถึง 'ทาง' ของตน หรือ มรรค ไร้ตัวตน ที่ได้จากการปฏิบัติในมหาสติปัฏฐานสูตรในครั้งแรกนั่นเอง เพื่อใช้อารมณ์นั้นเดินมรรค แต่เพียงอย่างเดียว จนมรรค สิ้นสุดสมบูรณ์ หากจะศึกษารายละเอียดจากผู้ที่ผ่านทางสายนี้มาแล้ว ก็แวะที่ลิงค์นี้ได้ ...ในบุคคลประเภทนี้ คล้ายคนขับรถจากตรอกซอกซอย ในเขาวงกต พอพบไฮเวย์ ก็เหยียบสุดคันเร่ง ไปตามไฮเวย์ จนกระทั่งถึงที่หมาย
การสร้างมหาเจดีย์ ที่เป็นวัตถุธาตุก็จริง หากนำมาต่อยอดด้วยการปฏิบัติตามแนวทางของหลวงปู่ดู่ หรือพระศรีอริยะเมตไตรย์ ในอนาคตนั่นเอง ทุกท่านก็จะได้รับคุณประโยชน์ ไปพร้อมๆกับสรรพวิญญาน อีกมากมายทั้ง 3 โลกไปพร้อมๆกับเรา คืนกลับบ้านพระนิพพาน เป็นคณะที่ยิ่งใหญ่ เป็นการต่อยอดทำประโยชน์อเนกอนันต์ คุ้มค่าความเหนื่อยยากในการสร้างพระมหาเจดีย์ มา 5 ปีเศษทีเดียว
ก็ขออนุญาตแทรกเหตุการณ์ตรงนี้เอาไว้ ให้แก่บรรดาญาติโยมทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับพระมหาเจดีย์ แสงแก้ว อันเป็นสถานที่ตรัสรู้ของสมเด็จพระพุทธกัสสปะ ที่เคารพรักยิ่งของลูกๆหลานๆทุกคน ที่ได้ทราบรายละเอียด และที่พระองค์ท่านได้ทรงซ้อนภาพมหัศจรรย์มายืนยัน แสงแก้ว ที่หลวงปู่ครูบาวงศ์ ได้ตั้งชื่อพระมหาธาตุเจดีย์แสงแก้วเอาไว้ล่วงหน้าก่อนการลงมือสร้างองค์พระมหาเจดีย์นานแล้วนั่นเอง)
เชิญทุกท่าน ร่วมสร้างบุญกุศลด้วยกัน ....ส่งต่อข่าวสารแก่เพื่อนๆ มีโอกาสชมจิ๊กซอร์ต่างๆ สำหรับนักค้นหาสาระชีวิตต่อภาพส่วนตัว ทั้ง ด้านโลกียะและโลกุตระ ที่ ainews1.com จัดไว้บริการให้แก่เพื่อนทุกเพศวัยทุกคน ฟรี นอกเหนือจากส่วนขยายธุรกิจ ที่ลิงค์ /article385.html Bookmark and Share

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น