วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เกิดอะไรขึ้นเมื่อโลกร้อนอีก 6 องศา

ถ้าโลกร้อนขึ้น 6 องศา

http://www.ainews1.com/article547.html

Bookmark and Share

หกองศา…อนาคตของเราบนดาวเคราะห์ที่ร้อนขึ้น

ถ้าภาวะโลกร้อนยังดำเนินต่อไปเร็วเช่นนี้ เราอาจผจญกับการสูญสิ้น แล้วอะไรคือสิ่งที่ทำให้โลกเราร้อนขึ้น?

คลื่นความร้อนกำลังทำลายน้ำแข็งขั้วโลก

โดยกลุ่มข่าวสหรัฐอเมริกา(ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ)

อ้างอิงจาก ธรรมสารอนุตราจารย์ชิงไห่ ฉบับที่ 196


ผู้สื่อข่าวชาวอังกฤษ และนักวิจารณ์ทางสถานีโทรทัศน์ในเรื่องสิ่งแวดล้อม คุณมาร์ค ลีนาสใช้เวลาสามปี ในการเดินทางไปยังห้าทวีป โดยได้เห็นถึงความรุนแรงของภาวะโลกร้อน ตั้งแต่การละลายของทุนดร้าที่อลาสก้า เกาะแปซิฟิก ตูวาลูที่กำลังจมลง และทะเลทรายในมองโกเลียที่กำลังแผ่ขยายมากขึ้น จนถึงภูเขาน้ำแข็งที่กำลังละลายหายไปที่เปรู และน้ำท่วมและพายุที่ทำให้เกิดการกัดเซาะที่จีน คุณลีนาสได้เก็บหลักฐานด้วยตนเอง ซึ่งได้รับการรวบรวมในหนังสือ ด้านอากาศเปลี่ยนแปลงของเขาที่มีชื่อว่า คลื่นสูง ความจริงเกี่ยวกับวิกฤตสภาพอากาศของเรา

(บทความในเว็บเพจนี้ เป็นการติดตามและต่อยอดสภาวะปัจจุบันของทั่วโลก ที่ท่านผู้มีความรู้ระดับสูงๆหลายท่าน ไม่เหลือความหวังอยู่เลยว่าโลกจะหยุดความร้อนที่เพิ่มขึ้นได้...กล่าวคือ มนุษย์ไปเลยขีดขั้นที่จะลดปัจจัยความร้อนต่างๆลงแต่อย่างใด)

ไม่นานหลังจากนั้น คุณลีนาสได้ศึกษาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และหาเหตุผลอย่างมากมาย ที่เกี่ยวเนื่องกับระบบวิถีชีวิตที่พึ่งพาเชื้อเพลิงถ่านหินของเรา ที่มีต่อสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ เขาใช้เวลาหลายเดือนที่ห้องสมุดวิทยาศาสตร์เรดคลิฟ แห่งมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด เพื่ออ่านวรรณกรรมทางวิทยาศาสตร์นับพันเรื่อง ก่อนที่จะจัดพิมพ์หนังสือเล่มที่สองของเขาในเรื่องอากาศเปลี่ยนแปลง “หกองศา อนาคตของเราบนดาวเคราะห์ที่ร้อนขึ้น” ซึ่งถือว่าเป็นหนังสือเตือนสติของเราอีกเล่ม

(การเตือนสติ เมื่อสุดจะสายไปแล้ว ยังหลงเหลือประโยชน์อยู่บ้าง คือการเตรียมตัวตายของมนุษย์ ให้จิตใจสงบมากที่สุด ใช่หรือไม่?)

หนังสือเล่มที่สองทบทวนเรื่องสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง อย่างเป็นระบบ บนพื้นฐานของข้อมูลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และโมเดลคอมพิวเตอร์ชั้นสูง และผลการศึกษาที่เกี่ยวกับอากาศจากซากฟอสซิล ตลอดประวัติศาสตร์ของโลก หนังสือแสดงให้เห็นสภาพของอากาศที่อุ่นขึ้นในอนาคต และผลกระทบที่จะเกิดขึ้น มันยังพิจารณาถึงช่วงเวลาที่เกิดอากาศเปลี่ยนแปลงฉับพลันในอดีต ตามกระบวนการธรรมชาติ และได้สะท้อนผลกระทบ ที่รุนแรงของภาวะโลกร้อนที่อาจเกิดขึ้นต่อทุกชีวิต และสิ่งแวดล้อมบนดาวเคราะห์ดวงนี้

ในแต่ละบท “หกองศา” ได้ถูกเรียบเรียงตามรายงานการประเมิณครั้งที่สาม ของคณะกรรมาธิการนานาชาติด้านสิ่งแวดล้อม (ไอพีซีซี) 2544 (www.ipcc.ch) ผลกระทบของอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น และโลกชีวภาพถูกกวาดอย่างคร่าวๆ ตามความเป็นจริงที่น่าสะพรึงกลัว
จากหนึ่งองศาเซลเซียส ไปสู่จุดเปลี่ยนผันที่ 3 องศาเซลเซียส จนไปถึง 6 องศาเซลเซียส ที่จะทำให้เกิดการสูญพันธุ์ทุกชีวิตรวมถึงมนุษย์ มากยากที่จะเข้าใจว่า กิจกรรมของมนุษย์อาจมีส่วนทำให้เกิดภัยพิบัติหายนะเช่นนี้ แต่กระนั้น เราได้ทำร้ายดาวเคราะห์ดวงนี้ และใกล้ที่จะเสียมันไปอย่างหวนคืนกลับไม่ได้ ถ้าเราไม่ปฏิบัติการทันที ที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

(สำหรับชาวพุทธคงจะเคยได้รับฟัง พุทธทำนาย ว่า การดำรงค์อยู่ของพระพุทธศาสนา ของพระองค์ท่าน จะยังดำรงค์อยู่ต่อไปอีกประมาณ 2,500 ปี ให้อายุศาสนาครบ 5,000 ปี ตามที่พระพุทธองค์ได้รับปากกับมาร ที่มาทูลขอเอาศาสนาของพระพุทธองค์ไปบริหาร....และชาวพุทธยังสมควรจะทราบสัจจะความจริงอีกอย่างหนึ่ง ในสิ่งต่างๆที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ ไม่มีสิ่งใดมาทำลายล้างให้เป็นอื่นไปได้)

ร้อนขึ้นหนึ่งองศา
อาร์กติกจะปลอดน้ำแข็งเป็นเวลาครึ่งปี แอตแลนติกตอนใต้ ซึ่งปกติแล้วจะไม่มีพายุเฮอร์ริเคน จะพบกับพายุเฮอร์ริเคนชายฝั่ง และที่สหรัฐตะวันตก จะเกิดความแห้งแล้งรุนแรง

ร้อนขึ้นสององศา
หมีขั้วโลกดิ้นรนที่จะอยู่รอด เพราะน้ำแข็งขั้วโลกจะละลายเพิ่มมากขึ้น น้ำแข็งที่กรีนแลนด์เริ่มจะหายไป ในขณะที่ปะการังชายฝั่งจะหายไป ระดับน้ำทะเลของโลกจะสูงขึ้น 7 เมตร

(เอ็ดการ์ เคย์ซี่ นักจิตศาสตร์ นักพยากรณ์ผู้มีชื่อเสียงของอเมริกัน มากกว่า 15,000 เรื่อง และที่ผ่านมาถูกต้อง 80 % และได้ทำนายไว้ว่าระดับน้ำทะเลทั่วโลกจะเพิ่มระดับขึ้น 7 เมตร...ดังนั้นโลกยังจะร้อนขึ้นต่อไปเข้าใกล้จุดวิกฤต จนน้ำแข็งเกิดละลายมากขึ้นจนอาจเป็นจริงตามที่เอ็ดการ์ ได้เล็งเห็นภาพอนาคตนั่นเอง...แล้วทำไมน้ำทะเลไมเพิ่มสูงขึ้นอีก นั่นคือต้องมีปัจจัยอื่นที่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบนั่นเอง ว่าเหตุไรความร้อนโลกจึงมาหยุดแค่ 2 องศา...ถ้าหากระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้น 7 เมตรถูกต้องเป็นจริงตามการหยั่งรู้ของเอ็ดการ์ เคย์ซี่ นั่นเอง)

ทีนี้ลองวางโลกร้อนทางกายภาพ ในความเห็นของนักวิชาการเอาไว้ก่อน มาพิจารณาสิ่งแวดล้อมของจักรวาล กาแลกซี่ต่างๆที่เนื่องเกี่ยวกับโลกและสุริยจักรวาล จากนักจิตศาสตร์

1 ก.พ. 2554 พระอาจารย์รัตน์ พบในสมาธิว่า สุริยจักรวาล ที่เดินสดุดมาร่วม 2 ปี ได้เดินหรือหมุนรอบตนเองโดยสมบูรณ์แล้ว แต่กลับหมุนจากซ้ายไปขวา ซึ่งดาวเคราะห์บริวาร โดยเฉพาะโลกจะต้องปรับตัวให้คล้อยตามสุริยจักรวาลต่อไป ในอีกไม่นานนัก ต้นเหตุที่สุริยจักรวาลต้องปรับตัว เนื่องจากได้โคจรรอบกาแลกซี่ทางช้างเผือก เข้ามาใกล้ขอบของกาแลกซี่ไตรแองกุลัม เริ่มเข้ามาในอิทธิพลของกาแลกซี่นี้อย่างเต็มที่ ส่วนการปรับตัวหรือสร้างสมดุลของโลกต่อสิ่งแวดล้อมใหม่

กาแลกซี่ไตรแองกุลัม เป็นกาแลกซี่ที่ให้พลังงานคลื่นสีเหลือง หรือเป็นรังสีแห่งความเมตตา แตกต่างจากกาแลกซี่ทางช้างเผือก ซึ่งร้อนและหนัก และตามปฏิทินของชาวมายา ซึ่งมีความรู้และเชี่ยวชาญในเรื่องของจักรวาล โลกจะปรับแกนพลังงานใหม่เป็นยุคๆ ดังนั้นในส่วนวงโคจรในอิทธิพลของกาแลกซี่ไตรแองกุลัม โลกจะปรับตัวร่วมกับดาวหางที่มาเยือน ส่งผลให้โลกย้ายแกนพลังงานของโลกใหม่ นำขั้วโลกเหนือมาอยู่ที่ สฟิงซ์ที่ประเทศอียิปต์

เมื่อโลกได้ปรับสมดุล และมีแกนพลังงานโลกใหม่ในราวต้นปี 2556 เสร็จเรียบร้อยแล้วสิ่งแวดล้อมโลกจะเปลี่ยนไปดีขึ้นเป็นปรกติขึ้น ด้วยพลังงานในช่วงคลื่นสีเหลืองของกาแลกซี่ไตรแองกุลัม

ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าก่อนการปรับสมดุลของโลก และดาวบริวารครั้งนี้ความร้อนของโลกที่เพิ่มขึ้น อาจจะได้เพิ่มขึ้นตามสภาพกายภาพ ที่มนุษย์คาดการณ์ไว้ เช่นปัจจุบันดาวเทียม ที่ส่งไปสังเกตการณ์การโคจรของสุริยจักรวาล ยังพบว่าปัจจุบันโลกและสุริยจักรวาลกำลังโคจรเข้าไปในกลุ่มเมฆหมอกสุริยะจำนวนมาก และศาตราจารย์ใน UCLA ยังพบว่าปัจจุบันโลกยามค่ำคืนบรรยากาศร้อนกว่ายามกลางวัน และท่านผู้มีสมาธิจิตยังหยั่งรู้ว่าพลังงานคลื่นแม่เหล็ก ที่หนักและร้อนยังลงมาเกาะกุมผิวโลกมากขึ้นกว่าเก่าทุกวัน เนื่องมาจากแกนพลังงานโลกตันมา 10 กว่าปี ทำให้เส้นแรงพลังงานแม่เหล็กแปรปรวนทั่วโลก และท่านครูบาอินทร วัดสันป่ายางหลวง ที่ จ..ลำพูน พบว่าปัจจุบันเส้นแรงแม่เหล็กโลกไร้ระเบียบ และจะก่อให้เกิดอุบัติภัยเพิ่มมากขึ้น ในการคมนาคมนาๆชนิด จะมีการตายหมู่ใหญ่เพิ่มขึ้น ตั้งแต่เดือน มกราคม 2554 นี้เป็นต้นไป และยิ่งกว่านั้น มนุษย์ไม่จำเป็นต้องไปขุดคอคอดกระ ท่านพบว่าพื้นโลกบริเวณนั้นมันเริ่มขยับตัวแล้ว และอีกไม่นานน้ำทะเลอันดามันมันจะข้ามเขามาทางอ่าวไทย แล้วก็จะได้ช่องทะเลกว้างใหญ่ทะลุถึงกัน ทั้งซีกตะวันตกและตะวันออกคืออ่าวไทย....นี่เป็นอีกผลิตผลหนึ่งของโลกร้อน

ทุกๆปัจจัยแวดล้อมของโลกปัจจุบัน จึงสร้างความยากลำบากในทุกๆด้านให้แก่มนุษย์และสัตว์โลก จะต้องประสบและทะยอยตายไป นับตั้งแต่สัตว์เล็กๆไปก่อน และกำลังลุกลามมายังชีวิตมนุษย์บางส่วนไปเรียบร้อยแล้ว....แล้วอย่างนี้กว่าจะถึงเวลาที่โลกจะมีแกนพลังงานโลกใหม่ ชีวิตมนุษย์จะยังคงมีเหลืออยู่สักกี่มากน้อย

ร้อนขึ้นสามองศา
ป่าฝนอเมซอนจะเหือดแห้ง และรูปแบบของอากาศที่รุนแรงของเอลนิโยจะกลายเป็นเรื่องปกติ ยุโรปจะพบกับความร้อน ในฤดูร้อนที่ทะยานสูงขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน คนนับล้านหรือพันล้านคนจะถูกย้ายถิ่นจากพื้นที่เขตร้อน ไปยังแลตติจูดตอนกลาง

ร้อนขึ้นสี่องศา
มหาสมุทรจะสูงขึ้น ทำให้เมืองที่อยู่ติดชายฝั่งจมลง การหายไปของน้ำแข็งบนยอดเขาอาจทำให้น้ำจืดหายไป ส่วนหนึ่งของแอนตาร์กติกาอาจจะทลายไป ทำให้ระดับน้ำยิ่งสูงขึ้น อุณหภูมิในฤดูร้อนที่ลอนดอนจะอยู่ที่ 45 องศาเซลเซียส

ร้อนขึ้นห้าองศา
บริเวณที่อยู่ไม่ได้จะแผ่ขยายกว้าง หิมะและชั้นน้ำแข็งที่เป็นแหล่งน้ำให้กับเมืองใหญ่จะเหือดแห้ง และผู้ลี้ภัยสภาพอากาศจะมีนับล้านคน อารยธรรมมนุษย์จะเริ่มพังทลายไปพร้อมกับสภาพอากาศ ที่เปลี่ยนแปลงที่ร้ายแรงนี้ คนยากจนจะเป็นผู้ที่ทุกข์ยากที่สุด จะไม่มีน้ำแข็งที่ขั้วโลกอีกต่อไป และเกิดการสูญพันธุ์ขนาดใหญ่ในมหาสมุทร และสึนามิขนาดใหญ่จะทำลายชายฝั่ง

สิ่งที่ยิ่งน่าเป็นห่วงก็คือว่า เนื่องจากความซับซ้อนของระบบนิเวศวิทยาบนดาวเคราะห์ดวงนี้ ความเป็นจริงของอากาศเปลี่ยนแปลงอาจยิ่งรุนแรง กว่าวิทยาศาสตร์ได้ทำนายไว้ การทำนายในเรื่องของผลกระทบของอากาศนั้นน่าเป็นกังวล เมื่อได้มีการรวบรวมข้อมูลที่เขาได้เก็บมา นายลินาสรู้สึกว่า บางที เขา ควรเก็บทุกอย่างเป็นความลับ เพราะความจริงนั้นน่าหวาดกลัว ที่จริงแล้ว การคาดการณ์บางอย่างนั้นได้กลายเป็นความจริงแล้ว

ตัวอย่างเช่น คลื่นความร้อนในฤดูร้อนที่ยุโรปได้เริ่มมีผลต่อสุขภาพมนุษย์ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ อากาศที่อุ่นขึ้นยังทำให้เกิดการเพิ่มขึ้น ของโรคมาลาเรียและโรคอื่นๆ ภาวะโลกร้อนทำให้ภูเขาน้ำแข็งในจีนหดไป 7% ต่อปี ซึ่งอาจจะมีผลกระทบที่รุนแรงต่อประชาชน 300 ล้านคน ที่ต้องพึ่งพาน้ำจากมัน ที่อินเดียการละลายอย่างรวดเร็วทำให้ประชาชนชาวเกาะจำนวน 20,000 คนต้องย้ายถิ่นฐานจากบริเวณที่ต่ำที่สุดของเกาะ ดุคออฟยอร์คในปี 2543 ในระบบสังคมนิเวศที่บอบบางและเกี่ยวพันกันนี้ ดาวเคราะห์ที่อุ่นขึ้นจะเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ ทำให้เกิดการขาดแคลนน้ำและอาหาร พร้อมกับเกิดผู้ลี้ภัยสภาพอากาศมากขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ดี คุณลีนาสไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้ผู้อ่านรู้สึกหดหู่ เกี่ยวกับอนาคตของดาวเคราะห์ดวงนี้ แต่เขาส่งคำเตือน และการกระตุ้นเตือนที่ชัดเจน ให้มีความพยายามในระดับนานาชาติขนาดใหญ่ ที่จะต่อสู้กับภาวะโลกร้อน แค่เหมือนกับ “หยิบที่ดับเพลิง แล้วฉีดใส่กองไฟ”
เมื่อมันเป็นที่ทราบแล้วว่า “ไฟ” นี้ เกิดจากกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ และตามการวิเคราะห์ทางทฤษฎี อุณหภูมิที่ร้อนขึ้นที่เกิดจากการปล่อยก๊าซ ทำให้เรามีเวลาน้อยกว่าหนึ่งทศวรรษ จนกว่าเราจะถึงจุด “หกองศา”
เราได้เข้าถึงระดับองศาที่สองแล้ว ดังนั้น ทางเลือกเดียวของเราที่จะรักษาดาวเคราะห์นี้ไว้ได้คือ การปฏิบัติการอย่างรวดเร็ว และลดการปล่อยคาร์บอนของเรา


ระดับองศาที่เปลี่ยน


อุณหภูมิที่เปลี่ยน

ปริมาณคาร์บอน

1 องศา


0.1-1.0 °c

350 ppm(ระดับปัจจุบันอยู่ที 395ppm)

2 องศา


1.1-2.0 °c

400 ppm

3 องศา


2.1-3.0 °c

450 ppm

4 องศา


3.1-4.0 °c

550 ppm

5 องศา


4.1-5.0 °c

650 ppm

6 องศา


5.1-5.8 °c

800 ppm

ปัจจุบัน โลกกำลังอัดแน่นด้วย คาร์บอนไดออกไซด์ ที่ 395 พีพีเอ็ม ใกล้ถึง 400 ในเร็วๆวันนี้

“หกองศา” คือคำประกาศที่ชัดเจนให้กับทุกคนว่าโลกกำลังอยู่ในสถานการณ์วิกฤต มันถึงเวลาแล้ว โดยเฉพาะผู้นำและนักการเมือง ที่จะดำเนินการที่จะลดคาร์บอน และก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ เช่น มีเทน จากกิจกรรมของมนุษย์นั้น มันปฏิเสธไม่ได้ว่า มันเป็นสาเหตุของสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ เราต้องมีวิถีชีวิตที่มีความสุขและสุขภาพที่ดีขึ้น ด้วยการใช้พลังงานที่ยั่งยืน และการเป็นมังสวิรัติ (วีแก็น) เพื่อรักษาโลกใบนี้ไว้ เรามีเวลาเพียงจำกัดที่จะหันหลังกลับ ภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องจริง และมันเกี่ยวข้องกับทุกชีวิตบนโลกใบนี้ ฉะนั้น มาเริ่มดำเนินการที่จะทำให้โลกของเราเย็นลงกัน

เชิญทุกท่าน ร่วมสร้างบุญกุศลด้วยกัน ....ส่งต่อข่าวสารแก่เพื่อนๆ มีโอกาสชมจิ๊กซอร์ต่างๆ สำหรับนักค้นหาสาระชีวิตต่อภาพส่วนตัว ทั้ง ด้านโลกียะและโลกุตระ ที่ ainews1.com จัดไว้บริการให้แก่เพื่อนทุกเพศวัยทุกคน ฟรี นอกเหนือจากส่วนขยายธุรกิจ ที่ลิงค์ /article385.html Bookmark and Share

1 ความคิดเห็น: