วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เกิดอะไรขึ้นเมื่อโลกร้อนอีก 6 องศา

ถ้าโลกร้อนขึ้น 6 องศา

http://www.ainews1.com/article547.html

Bookmark and Share

หกองศา…อนาคตของเราบนดาวเคราะห์ที่ร้อนขึ้น

ถ้าภาวะโลกร้อนยังดำเนินต่อไปเร็วเช่นนี้ เราอาจผจญกับการสูญสิ้น แล้วอะไรคือสิ่งที่ทำให้โลกเราร้อนขึ้น?

คลื่นความร้อนกำลังทำลายน้ำแข็งขั้วโลก

โดยกลุ่มข่าวสหรัฐอเมริกา(ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ)

อ้างอิงจาก ธรรมสารอนุตราจารย์ชิงไห่ ฉบับที่ 196


ผู้สื่อข่าวชาวอังกฤษ และนักวิจารณ์ทางสถานีโทรทัศน์ในเรื่องสิ่งแวดล้อม คุณมาร์ค ลีนาสใช้เวลาสามปี ในการเดินทางไปยังห้าทวีป โดยได้เห็นถึงความรุนแรงของภาวะโลกร้อน ตั้งแต่การละลายของทุนดร้าที่อลาสก้า เกาะแปซิฟิก ตูวาลูที่กำลังจมลง และทะเลทรายในมองโกเลียที่กำลังแผ่ขยายมากขึ้น จนถึงภูเขาน้ำแข็งที่กำลังละลายหายไปที่เปรู และน้ำท่วมและพายุที่ทำให้เกิดการกัดเซาะที่จีน คุณลีนาสได้เก็บหลักฐานด้วยตนเอง ซึ่งได้รับการรวบรวมในหนังสือ ด้านอากาศเปลี่ยนแปลงของเขาที่มีชื่อว่า คลื่นสูง ความจริงเกี่ยวกับวิกฤตสภาพอากาศของเรา

(บทความในเว็บเพจนี้ เป็นการติดตามและต่อยอดสภาวะปัจจุบันของทั่วโลก ที่ท่านผู้มีความรู้ระดับสูงๆหลายท่าน ไม่เหลือความหวังอยู่เลยว่าโลกจะหยุดความร้อนที่เพิ่มขึ้นได้...กล่าวคือ มนุษย์ไปเลยขีดขั้นที่จะลดปัจจัยความร้อนต่างๆลงแต่อย่างใด)

ไม่นานหลังจากนั้น คุณลีนาสได้ศึกษาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และหาเหตุผลอย่างมากมาย ที่เกี่ยวเนื่องกับระบบวิถีชีวิตที่พึ่งพาเชื้อเพลิงถ่านหินของเรา ที่มีต่อสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ เขาใช้เวลาหลายเดือนที่ห้องสมุดวิทยาศาสตร์เรดคลิฟ แห่งมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด เพื่ออ่านวรรณกรรมทางวิทยาศาสตร์นับพันเรื่อง ก่อนที่จะจัดพิมพ์หนังสือเล่มที่สองของเขาในเรื่องอากาศเปลี่ยนแปลง “หกองศา อนาคตของเราบนดาวเคราะห์ที่ร้อนขึ้น” ซึ่งถือว่าเป็นหนังสือเตือนสติของเราอีกเล่ม

(การเตือนสติ เมื่อสุดจะสายไปแล้ว ยังหลงเหลือประโยชน์อยู่บ้าง คือการเตรียมตัวตายของมนุษย์ ให้จิตใจสงบมากที่สุด ใช่หรือไม่?)

หนังสือเล่มที่สองทบทวนเรื่องสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง อย่างเป็นระบบ บนพื้นฐานของข้อมูลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และโมเดลคอมพิวเตอร์ชั้นสูง และผลการศึกษาที่เกี่ยวกับอากาศจากซากฟอสซิล ตลอดประวัติศาสตร์ของโลก หนังสือแสดงให้เห็นสภาพของอากาศที่อุ่นขึ้นในอนาคต และผลกระทบที่จะเกิดขึ้น มันยังพิจารณาถึงช่วงเวลาที่เกิดอากาศเปลี่ยนแปลงฉับพลันในอดีต ตามกระบวนการธรรมชาติ และได้สะท้อนผลกระทบ ที่รุนแรงของภาวะโลกร้อนที่อาจเกิดขึ้นต่อทุกชีวิต และสิ่งแวดล้อมบนดาวเคราะห์ดวงนี้

ในแต่ละบท “หกองศา” ได้ถูกเรียบเรียงตามรายงานการประเมิณครั้งที่สาม ของคณะกรรมาธิการนานาชาติด้านสิ่งแวดล้อม (ไอพีซีซี) 2544 (www.ipcc.ch) ผลกระทบของอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น และโลกชีวภาพถูกกวาดอย่างคร่าวๆ ตามความเป็นจริงที่น่าสะพรึงกลัว
จากหนึ่งองศาเซลเซียส ไปสู่จุดเปลี่ยนผันที่ 3 องศาเซลเซียส จนไปถึง 6 องศาเซลเซียส ที่จะทำให้เกิดการสูญพันธุ์ทุกชีวิตรวมถึงมนุษย์ มากยากที่จะเข้าใจว่า กิจกรรมของมนุษย์อาจมีส่วนทำให้เกิดภัยพิบัติหายนะเช่นนี้ แต่กระนั้น เราได้ทำร้ายดาวเคราะห์ดวงนี้ และใกล้ที่จะเสียมันไปอย่างหวนคืนกลับไม่ได้ ถ้าเราไม่ปฏิบัติการทันที ที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

(สำหรับชาวพุทธคงจะเคยได้รับฟัง พุทธทำนาย ว่า การดำรงค์อยู่ของพระพุทธศาสนา ของพระองค์ท่าน จะยังดำรงค์อยู่ต่อไปอีกประมาณ 2,500 ปี ให้อายุศาสนาครบ 5,000 ปี ตามที่พระพุทธองค์ได้รับปากกับมาร ที่มาทูลขอเอาศาสนาของพระพุทธองค์ไปบริหาร....และชาวพุทธยังสมควรจะทราบสัจจะความจริงอีกอย่างหนึ่ง ในสิ่งต่างๆที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ ไม่มีสิ่งใดมาทำลายล้างให้เป็นอื่นไปได้)

ร้อนขึ้นหนึ่งองศา
อาร์กติกจะปลอดน้ำแข็งเป็นเวลาครึ่งปี แอตแลนติกตอนใต้ ซึ่งปกติแล้วจะไม่มีพายุเฮอร์ริเคน จะพบกับพายุเฮอร์ริเคนชายฝั่ง และที่สหรัฐตะวันตก จะเกิดความแห้งแล้งรุนแรง

ร้อนขึ้นสององศา
หมีขั้วโลกดิ้นรนที่จะอยู่รอด เพราะน้ำแข็งขั้วโลกจะละลายเพิ่มมากขึ้น น้ำแข็งที่กรีนแลนด์เริ่มจะหายไป ในขณะที่ปะการังชายฝั่งจะหายไป ระดับน้ำทะเลของโลกจะสูงขึ้น 7 เมตร

(เอ็ดการ์ เคย์ซี่ นักจิตศาสตร์ นักพยากรณ์ผู้มีชื่อเสียงของอเมริกัน มากกว่า 15,000 เรื่อง และที่ผ่านมาถูกต้อง 80 % และได้ทำนายไว้ว่าระดับน้ำทะเลทั่วโลกจะเพิ่มระดับขึ้น 7 เมตร...ดังนั้นโลกยังจะร้อนขึ้นต่อไปเข้าใกล้จุดวิกฤต จนน้ำแข็งเกิดละลายมากขึ้นจนอาจเป็นจริงตามที่เอ็ดการ์ ได้เล็งเห็นภาพอนาคตนั่นเอง...แล้วทำไมน้ำทะเลไมเพิ่มสูงขึ้นอีก นั่นคือต้องมีปัจจัยอื่นที่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบนั่นเอง ว่าเหตุไรความร้อนโลกจึงมาหยุดแค่ 2 องศา...ถ้าหากระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้น 7 เมตรถูกต้องเป็นจริงตามการหยั่งรู้ของเอ็ดการ์ เคย์ซี่ นั่นเอง)

ทีนี้ลองวางโลกร้อนทางกายภาพ ในความเห็นของนักวิชาการเอาไว้ก่อน มาพิจารณาสิ่งแวดล้อมของจักรวาล กาแลกซี่ต่างๆที่เนื่องเกี่ยวกับโลกและสุริยจักรวาล จากนักจิตศาสตร์

1 ก.พ. 2554 พระอาจารย์รัตน์ พบในสมาธิว่า สุริยจักรวาล ที่เดินสดุดมาร่วม 2 ปี ได้เดินหรือหมุนรอบตนเองโดยสมบูรณ์แล้ว แต่กลับหมุนจากซ้ายไปขวา ซึ่งดาวเคราะห์บริวาร โดยเฉพาะโลกจะต้องปรับตัวให้คล้อยตามสุริยจักรวาลต่อไป ในอีกไม่นานนัก ต้นเหตุที่สุริยจักรวาลต้องปรับตัว เนื่องจากได้โคจรรอบกาแลกซี่ทางช้างเผือก เข้ามาใกล้ขอบของกาแลกซี่ไตรแองกุลัม เริ่มเข้ามาในอิทธิพลของกาแลกซี่นี้อย่างเต็มที่ ส่วนการปรับตัวหรือสร้างสมดุลของโลกต่อสิ่งแวดล้อมใหม่

กาแลกซี่ไตรแองกุลัม เป็นกาแลกซี่ที่ให้พลังงานคลื่นสีเหลือง หรือเป็นรังสีแห่งความเมตตา แตกต่างจากกาแลกซี่ทางช้างเผือก ซึ่งร้อนและหนัก และตามปฏิทินของชาวมายา ซึ่งมีความรู้และเชี่ยวชาญในเรื่องของจักรวาล โลกจะปรับแกนพลังงานใหม่เป็นยุคๆ ดังนั้นในส่วนวงโคจรในอิทธิพลของกาแลกซี่ไตรแองกุลัม โลกจะปรับตัวร่วมกับดาวหางที่มาเยือน ส่งผลให้โลกย้ายแกนพลังงานของโลกใหม่ นำขั้วโลกเหนือมาอยู่ที่ สฟิงซ์ที่ประเทศอียิปต์

เมื่อโลกได้ปรับสมดุล และมีแกนพลังงานโลกใหม่ในราวต้นปี 2556 เสร็จเรียบร้อยแล้วสิ่งแวดล้อมโลกจะเปลี่ยนไปดีขึ้นเป็นปรกติขึ้น ด้วยพลังงานในช่วงคลื่นสีเหลืองของกาแลกซี่ไตรแองกุลัม

ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าก่อนการปรับสมดุลของโลก และดาวบริวารครั้งนี้ความร้อนของโลกที่เพิ่มขึ้น อาจจะได้เพิ่มขึ้นตามสภาพกายภาพ ที่มนุษย์คาดการณ์ไว้ เช่นปัจจุบันดาวเทียม ที่ส่งไปสังเกตการณ์การโคจรของสุริยจักรวาล ยังพบว่าปัจจุบันโลกและสุริยจักรวาลกำลังโคจรเข้าไปในกลุ่มเมฆหมอกสุริยะจำนวนมาก และศาตราจารย์ใน UCLA ยังพบว่าปัจจุบันโลกยามค่ำคืนบรรยากาศร้อนกว่ายามกลางวัน และท่านผู้มีสมาธิจิตยังหยั่งรู้ว่าพลังงานคลื่นแม่เหล็ก ที่หนักและร้อนยังลงมาเกาะกุมผิวโลกมากขึ้นกว่าเก่าทุกวัน เนื่องมาจากแกนพลังงานโลกตันมา 10 กว่าปี ทำให้เส้นแรงพลังงานแม่เหล็กแปรปรวนทั่วโลก และท่านครูบาอินทร วัดสันป่ายางหลวง ที่ จ..ลำพูน พบว่าปัจจุบันเส้นแรงแม่เหล็กโลกไร้ระเบียบ และจะก่อให้เกิดอุบัติภัยเพิ่มมากขึ้น ในการคมนาคมนาๆชนิด จะมีการตายหมู่ใหญ่เพิ่มขึ้น ตั้งแต่เดือน มกราคม 2554 นี้เป็นต้นไป และยิ่งกว่านั้น มนุษย์ไม่จำเป็นต้องไปขุดคอคอดกระ ท่านพบว่าพื้นโลกบริเวณนั้นมันเริ่มขยับตัวแล้ว และอีกไม่นานน้ำทะเลอันดามันมันจะข้ามเขามาทางอ่าวไทย แล้วก็จะได้ช่องทะเลกว้างใหญ่ทะลุถึงกัน ทั้งซีกตะวันตกและตะวันออกคืออ่าวไทย....นี่เป็นอีกผลิตผลหนึ่งของโลกร้อน

ทุกๆปัจจัยแวดล้อมของโลกปัจจุบัน จึงสร้างความยากลำบากในทุกๆด้านให้แก่มนุษย์และสัตว์โลก จะต้องประสบและทะยอยตายไป นับตั้งแต่สัตว์เล็กๆไปก่อน และกำลังลุกลามมายังชีวิตมนุษย์บางส่วนไปเรียบร้อยแล้ว....แล้วอย่างนี้กว่าจะถึงเวลาที่โลกจะมีแกนพลังงานโลกใหม่ ชีวิตมนุษย์จะยังคงมีเหลืออยู่สักกี่มากน้อย

ร้อนขึ้นสามองศา
ป่าฝนอเมซอนจะเหือดแห้ง และรูปแบบของอากาศที่รุนแรงของเอลนิโยจะกลายเป็นเรื่องปกติ ยุโรปจะพบกับความร้อน ในฤดูร้อนที่ทะยานสูงขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน คนนับล้านหรือพันล้านคนจะถูกย้ายถิ่นจากพื้นที่เขตร้อน ไปยังแลตติจูดตอนกลาง

ร้อนขึ้นสี่องศา
มหาสมุทรจะสูงขึ้น ทำให้เมืองที่อยู่ติดชายฝั่งจมลง การหายไปของน้ำแข็งบนยอดเขาอาจทำให้น้ำจืดหายไป ส่วนหนึ่งของแอนตาร์กติกาอาจจะทลายไป ทำให้ระดับน้ำยิ่งสูงขึ้น อุณหภูมิในฤดูร้อนที่ลอนดอนจะอยู่ที่ 45 องศาเซลเซียส

ร้อนขึ้นห้าองศา
บริเวณที่อยู่ไม่ได้จะแผ่ขยายกว้าง หิมะและชั้นน้ำแข็งที่เป็นแหล่งน้ำให้กับเมืองใหญ่จะเหือดแห้ง และผู้ลี้ภัยสภาพอากาศจะมีนับล้านคน อารยธรรมมนุษย์จะเริ่มพังทลายไปพร้อมกับสภาพอากาศ ที่เปลี่ยนแปลงที่ร้ายแรงนี้ คนยากจนจะเป็นผู้ที่ทุกข์ยากที่สุด จะไม่มีน้ำแข็งที่ขั้วโลกอีกต่อไป และเกิดการสูญพันธุ์ขนาดใหญ่ในมหาสมุทร และสึนามิขนาดใหญ่จะทำลายชายฝั่ง

สิ่งที่ยิ่งน่าเป็นห่วงก็คือว่า เนื่องจากความซับซ้อนของระบบนิเวศวิทยาบนดาวเคราะห์ดวงนี้ ความเป็นจริงของอากาศเปลี่ยนแปลงอาจยิ่งรุนแรง กว่าวิทยาศาสตร์ได้ทำนายไว้ การทำนายในเรื่องของผลกระทบของอากาศนั้นน่าเป็นกังวล เมื่อได้มีการรวบรวมข้อมูลที่เขาได้เก็บมา นายลินาสรู้สึกว่า บางที เขา ควรเก็บทุกอย่างเป็นความลับ เพราะความจริงนั้นน่าหวาดกลัว ที่จริงแล้ว การคาดการณ์บางอย่างนั้นได้กลายเป็นความจริงแล้ว

ตัวอย่างเช่น คลื่นความร้อนในฤดูร้อนที่ยุโรปได้เริ่มมีผลต่อสุขภาพมนุษย์ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ อากาศที่อุ่นขึ้นยังทำให้เกิดการเพิ่มขึ้น ของโรคมาลาเรียและโรคอื่นๆ ภาวะโลกร้อนทำให้ภูเขาน้ำแข็งในจีนหดไป 7% ต่อปี ซึ่งอาจจะมีผลกระทบที่รุนแรงต่อประชาชน 300 ล้านคน ที่ต้องพึ่งพาน้ำจากมัน ที่อินเดียการละลายอย่างรวดเร็วทำให้ประชาชนชาวเกาะจำนวน 20,000 คนต้องย้ายถิ่นฐานจากบริเวณที่ต่ำที่สุดของเกาะ ดุคออฟยอร์คในปี 2543 ในระบบสังคมนิเวศที่บอบบางและเกี่ยวพันกันนี้ ดาวเคราะห์ที่อุ่นขึ้นจะเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ ทำให้เกิดการขาดแคลนน้ำและอาหาร พร้อมกับเกิดผู้ลี้ภัยสภาพอากาศมากขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ดี คุณลีนาสไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้ผู้อ่านรู้สึกหดหู่ เกี่ยวกับอนาคตของดาวเคราะห์ดวงนี้ แต่เขาส่งคำเตือน และการกระตุ้นเตือนที่ชัดเจน ให้มีความพยายามในระดับนานาชาติขนาดใหญ่ ที่จะต่อสู้กับภาวะโลกร้อน แค่เหมือนกับ “หยิบที่ดับเพลิง แล้วฉีดใส่กองไฟ”
เมื่อมันเป็นที่ทราบแล้วว่า “ไฟ” นี้ เกิดจากกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ และตามการวิเคราะห์ทางทฤษฎี อุณหภูมิที่ร้อนขึ้นที่เกิดจากการปล่อยก๊าซ ทำให้เรามีเวลาน้อยกว่าหนึ่งทศวรรษ จนกว่าเราจะถึงจุด “หกองศา”
เราได้เข้าถึงระดับองศาที่สองแล้ว ดังนั้น ทางเลือกเดียวของเราที่จะรักษาดาวเคราะห์นี้ไว้ได้คือ การปฏิบัติการอย่างรวดเร็ว และลดการปล่อยคาร์บอนของเรา


ระดับองศาที่เปลี่ยน


อุณหภูมิที่เปลี่ยน

ปริมาณคาร์บอน

1 องศา


0.1-1.0 °c

350 ppm(ระดับปัจจุบันอยู่ที 395ppm)

2 องศา


1.1-2.0 °c

400 ppm

3 องศา


2.1-3.0 °c

450 ppm

4 องศา


3.1-4.0 °c

550 ppm

5 องศา


4.1-5.0 °c

650 ppm

6 องศา


5.1-5.8 °c

800 ppm

ปัจจุบัน โลกกำลังอัดแน่นด้วย คาร์บอนไดออกไซด์ ที่ 395 พีพีเอ็ม ใกล้ถึง 400 ในเร็วๆวันนี้

“หกองศา” คือคำประกาศที่ชัดเจนให้กับทุกคนว่าโลกกำลังอยู่ในสถานการณ์วิกฤต มันถึงเวลาแล้ว โดยเฉพาะผู้นำและนักการเมือง ที่จะดำเนินการที่จะลดคาร์บอน และก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ เช่น มีเทน จากกิจกรรมของมนุษย์นั้น มันปฏิเสธไม่ได้ว่า มันเป็นสาเหตุของสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ เราต้องมีวิถีชีวิตที่มีความสุขและสุขภาพที่ดีขึ้น ด้วยการใช้พลังงานที่ยั่งยืน และการเป็นมังสวิรัติ (วีแก็น) เพื่อรักษาโลกใบนี้ไว้ เรามีเวลาเพียงจำกัดที่จะหันหลังกลับ ภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องจริง และมันเกี่ยวข้องกับทุกชีวิตบนโลกใบนี้ ฉะนั้น มาเริ่มดำเนินการที่จะทำให้โลกของเราเย็นลงกัน

เชิญทุกท่าน ร่วมสร้างบุญกุศลด้วยกัน ....ส่งต่อข่าวสารแก่เพื่อนๆ มีโอกาสชมจิ๊กซอร์ต่างๆ สำหรับนักค้นหาสาระชีวิตต่อภาพส่วนตัว ทั้ง ด้านโลกียะและโลกุตระ ที่ ainews1.com จัดไว้บริการให้แก่เพื่อนทุกเพศวัยทุกคน ฟรี นอกเหนือจากส่วนขยายธุรกิจ ที่ลิงค์ /article385.html Bookmark and Share

วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เตรียมกายใจเผชิญวิกฤตโลก

เตรียมตัวเผชิญสิ่งแวดล้อมเข้าสู่วิกฤต

Crop circle ที่เพิ่งปรากฏที่อินโดนีเซีย เมื่อ 11 ม.ค. 2554

http://ainews1.com/article522.html

Bookmark and Share

เสาอากาศถ่ายทอดแสงทิพย์เสาที่ 46 นำหัวข้อข่าวสิ่งแวดล้อม ในเว็บเพจ 521.html และ /article527.html มาหารือกับท่านผู้ไม่ประมาท กันต่อในเว็บเพจนี้ ว่าเราจะมีแบบอย่างในการประพฤติปฏิบัติ ในชีวิตประจำวัน เรียงตามลำดับความเร่งด่วน ของการเปลี่ยนแปลงของโลก และสุริยะจักรวาลกันอย่างไรบ้าง

สิบปีที่ผ่านมาทุกคนจะรู้สึกว่าแดดร้อนผิดปรกติ แต่ผู้คนส่วนใหญ่เกือบไม่ทราบว่า มันเกิดขึ้นจากต้นเหตุใด ส่วนท่านที่ได้ทราบสาเหตุ และยังทราบอีกว่าในอนาคต ที่โลกจะร้อนเพิ่มขึ้นอีกต่อเนื่อง ทั้งมีเส้นแรงแม่เหล็กที่หนักและร้อนคลุมเปลือกโลกมา 10 กว่าปี จะหนามากยิ่งขึ้น ผู้คนจะเป็นภูมิแพ้ และมีความขัดข้องในระบบหายใจมากยิ่งขึ้น และเลือดจะข้นขึ้น

ความวัวยังไม่ทันหาย ก็มีกาซมีเทนผุดขึ้นมามากมายจากใต้ผืนโลก ช่วยเพิ่มโลกร้อนมากและเร็วยิ่งขึ้น พร้อมทั้งทำลายสิ่งแวดล้อมในทะเล สัตว์เล็กๆตายก่อนเป็นลำดับแรก ที่เราจะเห็นๆกันเพิ่มมากขึ้นทุกที สัตว์ประการังตายเกือบหมดทั้งโลกแล้ว ปลาชนิดต่างๆที่พึ่งพาอาศัยป่าประการัง ก็หมดแหล่งที่อยู่และอาหารการกินไปด้วย เครือข่ายสายใยวิตของสัตว์ต่างๆที่ข้องเกี่ยวกับประการัง ย่อมได้รับผลกระทบที่รุนแรง ต่อไปยังสัตว์ใหญ่ที่กินปลาเล็กเป็นอาหาร ในห่วงโซ่การดำเนินชีวิตของสัตว์ทะเล

ความควายก็เริ่มส่งคลื่นประจุลบลงมายังโลก จากกาแลกซี่อันโดรเมดา ซึ่งเป็นกาแลกซี่ใหญ่มาก ครอบกาแลกซี่ทางช้างเผือก กาแลกซี่ไตรแองกุลัม และสุริยจักรวาล ส่งพลังงานประจุลบจำนวนมากมหาศาลลงมาทั่วโลก ลงไปน้ำทะเล เข้าตัวคน สัตว์ พืช ที่ทุกๆชีวิตต่างต้องการใช้น้ำทั้งสิ้น

ภัยร้ายแรงที่เพิ่งปรากฏขึ้นใหม่นี้ ยังไม่มีรายละเอียดจากนักวิทยาศาสตร์ แต่นักวิทยาศาสตร์ทางจิต ทราบสาเหตุนี้แล้ว และจะนำไปสู่ผลที่ร้ายแรงต่อโลก และจักรวาล รวมทั้งทุกๆชีวิตบนโลกนี้ด้วย ถึงแม้ว่าพระอาจารย์รัตน์ ท่านทราบเรื่องนี้ดีแล้ว และได้เปิดมิติ ที่เท้าข้างขวาของสฟิงซ์ที่ประเทศอียิปต์ไปเมื่อ 1 มกราคม 2554 เพื่อช่วยดูดประจุลบดังกล่าวลงดิน ช่วยบรรเทาความเสียหายให้แก่โลกลง ก็ยังไม่ทราบว่าจะช่วยลดภัยพิบัติลงได้มากเพียงใด....เมื่อปลายเดือน ม.ค. 54 ได้พบพระอาจารย์รัตน์ ท่านแจ้งว่า ภารกิจของสฟิงซ์สิ้นสุดลง เมื่อ 8 ม.ค.54 แล้ว ผู้ที่ไม่ได้ลองสัมผัสการทำงานของสฟิงซ์ ในช่วงนั้นก็จะไม่ทราบภาพที่เห็นว่า ทอร์นาโดประจุลบอันยิ่งใหญ่มืดดำน่ากลัวมาก ที่หมุนลงสู่ผืนดินใต้เท้าของสฟิงซ์

เรื่องประจุลบที่อันโดรเมดาส่งมานี้ คนจะหายใจไม่ออก และทานอาหารไม่ได้ น้ำส่วนใหญ่ในร่างกายจะถูกประจุลบมาแย่งกาซไฮโดนเจนออกไป ทำให้ร่างกายขาดน้ำ และเลือดกลายเป็นกรด เมื่อเกิดขึ้นหนักเข้าค่า pH ในร่างกายลงมาถึง 6.6 คนก็จะเกิดอาการโดม่าทันที

การแพร่ระบาดของวัณโรครอบใหม่ นอกจากสิ่งเหล่านี้ที่กล่าวมาแล้ว การที่โลกร้อนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หมอแกนได้กล่าวเตือนล่วงหน้าเอาไว้ว่า โรคระบาดวัณโรค ที่กลับมาใหม่ ทำลายคน 7 ใน 10 คนทีเดียว ที่เห็นๆธรรมชาติจะคัดคนเบื้องแรก ให้เหลือประมาณ 30 %

ที่มา: IPCC Third Assessment Report 2001

ความชันของเส้นกราฟทางด้านขวามือ กำลังบ่งบอกว่า ความร้อนของโลกกำลังจะทะยานขึ้นไปถึงจุดวิกฤตอย่างรวดเร็ว เช่น CO2 จุดวิกฤตอยู่ที่ 450 พีพีเอ็ม ที่ตรงนี้อุณหภูมิบนโลกอาจไปถึง 50-60 องศาเซ็นเซียสทีเดียว ปรากฏการณ์นี้จะไปจบสิ้นหลังจากโลกและจักรวาล ได้ปรับสมดุลตัวเองเสร็จสิ้นแล้ว พ.ศ. 2562 โน่น

ทีนี้ลองมามองย้อนลึกลงไปในอดีต ของชีวิตคนบนโลก ในบันทึก 'ไตรภูมิพระร่วง'

'กาลนั้นอันว่าชาติข้าวสาลีนั้น ก็กลายเป็นเปลือกเป็นแกลบเป็นรำไป ดังข้าวเปลือกเราบัดนี้แลฯ อันว่าสถานที่ข้าวเคยงอก แลแตกเป็นข้าวสารนั้น ก็มิได้งอกขึ้นเป็นดังเก่าเลยฯ จึงคนทั้งหลายเห็นหลากมหัศจรรย์ดังนั้น แล้วเขาจึงชุมนุมปรึกษาเจรจาฉันนี้ แลว่าเมื่อก่อนเรากระทำความอันชอบธรรม เราปรารถนาอันใดก็ได้ดังเราปรารถนา แต่ก่อนไส้ เรามิได้กินอาหารก็ดี เราก็อิ่มอยู่แล เราจะไปแห่งใดก็ไปโดยอากาศ

อนึ่งเราไส้มีที่นอนที่อยู่ก็เป็นสุขสำราญ ตัวเราก็มีรัศมีอันรุ่งเรืองทั่วทั้งจักรวาล ทั้งโอชารสแผ่นดินก็ขึ้นมาปนเพื่อประโยชน์แก่เราๆ ก็ชวนกันโลภอาหารเรากินกันโอชารสแผ่นดิน อันว่ารัศมีในตัวเราที่รุ่งเรืองนั้นก็หายไปสิ้น ก็บันดาบให้มืดแก่เรา ๆ จึงปรารถนาหาสีอันรุ่งเรืองนั้นเล่าฯ จึงเกิดพระอาทิตย์พระจันทร์ให้รุ่งเรืองแก่เรา ๆ กระทำซึ่งสภาวผิดธรรมอันว่าโอชารสแผ่นดินนั้นก็หายไป จึงกลายเป็นดอกเห็ดอันตูมนี้นั้นขึ้นมาในกลีบดินให้เราได้กินต่างข้าวเราไส้ เร่งกระทำความอันมิชอบธรรมเล่า อันว่ากลีบดินดังดอกเห็ดตูมนั้นก็หายไป'

เมื่อนำมาพิจารณาแล้ว พืชพันธุ์ธัญญาหารของโลก ปรับตัวเปลี่ยนไปตามสภาวะจิตของผู้คนเร็วมาก เสื่อมลงไปทุกเวลา อันมาจากเหตุจิตใจของชาวโลก ที่มี ความโลภ เพิ่มมากขึ้น
ดังนั้น สังคม หรือชุมชนเศรษฐกิจพอเพียง จะดำรงค์ความอยู่รอดของตนเองได้ ต้องพัฒนาต้นเหตุที่จิตใจ ซึ่งพ่อหลวง ได้ทรงตรัสไว้ว่าผู้นำเศรษฐกิจพอเพียง จะทำงานได้ผลต้องระเบิดจากภายในก่อน

หลายๆคนอาจไม่เข้าใจ สิ่งที่พระองค์ท่านตรัสไว้ การระเบิดจากภายในนั้น เป็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่งของจิต ของผู้ปฏิบัติมหาสติปัฏฐานสูตร แยกจิตออกจากกายนั่นเอง เมื่อแยกจิตออกได้สำเร็จ เท่ากับยึดหัวหาดของแดนนิพพาน ซึ่งพระองค์ท่าน เล็งเห็นพื้นฐานหรือรากฐานของสังคม ในหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงที่สำคัญ ในการดำรงค์อยู่ได้ของสังคม ที่จะยืนหยัดต่อสู้กับสภาวะแวดล้อมที่จะเลวร้ายไปโดยลำดับ จนกว่าโลกจะสถาปันนาแกนพลังงานโลกใหม่เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว ในปี พ.ศ.2562 นั้น

ตัวเราก็มีรัศมีอันรุ่งเรืองทั่วทั้งจักรวาล วลีนี้ของคนโบราณ แสดงว่ามีรังสีออร่ารอบร่างกายที่รุ่งเรืองไพบูลย์มาก คนประเภทนี้ ภ้าได้พบกับอภิญญาใหญ่ หรือแสงทิพย์ของพระบรมธรรมบิดา ก็จะพบหนทางคืนกลับบ้านนิพพานได้สะดวกรวดเร็วมาก

ในไตรภูมิพระร่วง มีอยู่วลีหนึ่ง 'แต่ก่อนไส้ เรามิได้กินอาหารก็ดี เราก็อิ่มอยู่แล' ทำไมเขาจึงอิ่มอยู่ได้ การรู้สึกหิว บ่งบอกว่า พลังสำรองงานภายในเซลล์ขาดแคลน แล้วคนไม่ได้กินอาหารแล้วอิ่มอยู่ได้ ย่อมจะต้องได้รับพลังงานสำรองมาจากแหล่งพลังงานอื่น นั่นก็คือ พลังงานและคลื่นไฟฟ้าจากอากาศที่เราหายใจนั่นเอง ซึ่งมีรายละเอียด ในทฤษฎีโพเพทัส ของหมอแกนนั่นเอง

มาสรุปเป็นว่า มนุษย์ทั่วโลกอาจต้องตายในอีกไม่นาน เนื่องจากทนสภาวะความร้อนโลกขึ้นสูงไม่ไหว เกือบหมดโลกก็อาจว่าได้ ถ้าหากวิกฤตสิ่งแวดล้อมโลก เล่นรุมกินโต๊ะมนุษย์เช่นนี้ มากมายหลายสาเหตุพร้อมๆกัน โดยที่ดาวหางดวงใหญ่ยังไม่ทันมาถึงเลย เมื่อดาวหางดวงใหญ่และสมุนดาวเคราะห์อีก 5 ดวง ผ่านแถบวงกลมที่มีเทหะวัตถุนาๆชนิดทั้งเล็กและใหญ่ ที่ล่องลอยอยู่ระหว่างดาวอังคารและดาวพฤหัสบดี ก่อนที่จะตรงดิ่งมายังโลก และโคจรรอบดวงอาทิตย์นั้น

ดาวหางดวงนี้ และดาวบริวารจะดูดขยะต่างๆ ในวงแหวนดังกล่าวลงมายังชั้นบรรยากาศของโลก มากน้อยเพียงใด คาดว่าราวกลางปี 2555 โลกก็คงจะได้ต้อนรับเจ้าเศษขยะอวกาศพวกนี้ ถ้าหากลูกไหนเผาไหม้ไม่หมดระหว่างเสียดสีกับอากาศ ย่อมจะมีหลงเหลือลงมาบนผิวโลกแน่นอน ภาพอนาคตที่นอสตราดามูส เห็นวัตถุภูเขาที่กำลังลุกไหม้แดงฉานขนาด 1 ไมล์กำลังตกลงมาบนโลก ในบริเวณทะเลเมดิเตอรเรเนียน และมหาสมุทรแอตแลนติกใกล้ชายฝั่งตะวันออกของอเมริกา ทั้ง 2 ลูกนี้ จะเป็นต้นเหตุแห่งความตายต่อสรรพสัตว์บนโลกนี้ อย่างใหญ่ยิ่งทีเดียว ทั้งในระยะแรกที่ตายทันที และระยะต่อมาอดอยากอาหาร นับหลายพันล้านคน

ยังไม่รวมภัยอื่นๆที่มนุษย์เป็นตัวเร่งให้เกิดขึ้น ท่านครูบาอินทร พระอริยะเจ้า แห่งวัดสันป่ายางหลวง ท่านมองเห็นระบบดิจิทอล ที่มนุษยย์กำลังใช้กันอย่างแพร่หลาย เป็นตัวเร่งภัยธรรมชาติได้เป็นอย่างดี

ตรงนี้ตรงกับพระราชดำรัสของในหลวง ในงานเฉลิมพระชนม์พรรษา ที่พระองค์ได้กล่าวไว้ว่าประเทศไทย ไม่ต้องการการพัฒนาอย่างสุดโต่ง นั่นมันเป็นการถอยหลัง หากท่านผู้ใดติดตามวิเคราะห์ผลเสียของการใช้ระบบดิจิทอล ต่อจากความเห็นสั้นๆของท่านครูบาอินทร ก็จะเห็นชัดว่า มนุษย์ยิ่งพัฒนาแต่กลับยิ่งถอยหลัง ตรงกับที่ในหลวงท่านทรงตรัสเอาไว้ ประมาณ พ.ศ.2535 โน่น ประมาณ 20 ปีล่วงหน้า...มาแล้ว

ลูกหลานชาวไทยคงจะได้พบเห็นอีกไม่นานนี้...แล้วทีนี้ผู้ไม่ประมาทจะหันมาจัดการกับชีวิตของตนเองอย่างไรดี ถ้าหากจะต้องตาย เราจะเตรียมตัวล่วงหน้าอย่างไรได้บ้าง ถ้ามันจะรอดก็ถือว่านั่นเป็นโชคดี หรือโชคร้ายก็ไม่รู้เหมือนกัน

ประชากรในประเทศไทยจะเหลือเรือนหมื่น หรือเรือนล้านก็คงต้องคอยดูกันต่อไป...สืบเนื่องจากการไปไหว้ครูสมเด็จพระบรมธรรมบิดา ที่บ้านคุณแม่เกษร เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2554 นี้ พระท่านเปิด 3 โลก ทำให้มีโอกาสได้พบเห็นเรื่องต่างๆที่เป็นมงคลแก่ชีวิต เป็นอย่างยิ่ง ตามที่เคยรายงานเอาไว้ที่ลิงค์นี้

ทำให้ตนเองนำมาต่อยอดแนวความคิดเดิม ที่ยังไม่ลงตัวเสียทีเดียว ว่าต่อไปนี้ ชีวิตประจำวันแต่ละวัน เราควรทำประโยชน์ให้แก่ตนเอง และผู้อื่นอีกจำนวนมากอย่างไรดี ก็ลองแวะมาดูกันเป็นตัวอย่างก็แล้วกัน ทุกคนไม่ต้องเตรียมตัวตายเหมือนกัน มันมีหลายอ๊อฟชั่นให้เลือก เช่น :

  • ตื่นมาตอนเช้า ก็ตั้งใจอัญเชิญพระ 7 พระองค์มาที่ตัวเรา
  • ตั้งใจระลึกถึงพระรัตนตรัย และทำการบวชจิต
  • สวดพระคาถามหาจักรพรรดิ ของหลวงปู่ดู่ เสร็จแล้ว ของอนุญาตหลวงปู่ดู่ นำบุญกุศลไปสมทบกับภูเขาบุญของหลวงปู่ฯ เมื่อหลวงปู่ฯได้โมทนาบุญกับเราแล้ว บุญนั้นจะยิ่งทวีคูณขึ้นอีกหลายเท่าตัว พร้อมกับขอบารมีพระบรมธรรมบิดา นำแสงทิพย์ไปติดตั้ง ที่ภูเขาบุญของหลวงปู่เพิ่มขึ้นด้วย คราวนี้ภูเขาบุญของหลวงปู่ยิ่งทวีพลังงานบุญกุศล เพิ่มมากขึ้นสุดที่จะประมาณ ให้แก่ผู้ที่ได้มีโอกาสได้โมทนาบุญทั้งหลาย
  • สวดพระคาถาอริยทรัพย์ ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ หรือพระราชพรหมยานเถระ ที่คุณแม่เกษร เพิ่มเติมบางรายการเข้าไปมากขึ้น ให้เหมาะแก่ยุคนี้ ที่อภิญญาใหญ่ได้เปิดตัวแล้ว สวดเสร็จแล้ว ขอนำบุญกุศล ไปสมทบกับภูเขาบุญของหลวงปู่ดู่
  • เสร็จแล้ว อธิษฐาน ขอบารมีหลวงปู่ดู่ ขอสร้างเครือข่ายภูเขาบุญของหลวงปู่ ไปไว้ยังที่ต่างๆ ที่เราต้องการช่วยเหลือคน หรือสรรพสัตว์ หรืองานเพื่อชาติเพื่อแผ่นดิน เช่นอาณาจักรไทยในสมัยของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสิน มหาราช ยิ่งใหญ่กว้างขวางกว่าที่ปรากฏในปัจุบัน หลายเท่าตัวนัก หากเราจะมีความกตัญญูต่อแผ่นดิน ช่วยพระองค์ท่านได้อย่างไรบ้าง ให้แผ่นดินที่ถูกคนพาลแยกออกไป ให้กลับคืนมาเป็นหนึ่งเดียวอีกวาระหนึ่ง ในรัชสมัย ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลเดชมหาราช แล้วจึงสัพเพฯ 9 ครั้ง
  • การสวดมนตร์ด้วย กายเนื้อเราอาจกระทำเพียง ครั้ง สองครั้งต่อวัน เพื่อมิให้เสียโอกาสทองของการเกิดมาในครั้งนี้ ในการเพิ่มบุญบารมีให้แก่ตัวเรา เราก็อาจใส่โปรแกรม ให้แก่ไมโครชิพของเรา รับภาพและเสียงของเรา โดยใช้หลักการของ ทฤษฎีโพเพทัส ให้จิตของเราทั้งสวดมนตร์ และแผ่ส่วนกุศล เช่นเดียวกับกายเนื้อในแต่ละวัน ได้ตลอดเวลาอีกด้วย เนื่องจิตเป็นคลื่นพลังงานอย่างหนึ่งมันทำงานตลอดเวลา ไม่เกี่ยวกับมิติเวลา เมื่อท่านได้ศึกษาทฤษฎีโพเพทัส เข้าใจดีแล้ว ก็นำมาประยุกต์ใส่คำสั่งต่างๆให้แก่ไมโครชิพได้ทุกเรื่อง ในแต่ละช่วงเวลาที่เราบอกให้ไมโครชิพทราบล่วงหน้า ว่าช่วงไหนหรือวันไหนเราต้องการโปรแกรมอย่างใดบ้าง ไมโครชิพต้องการตอกย้ำคำสั่ง อย่างน้อย 5 ครั้งที่เหมือนๆกัน
  • หากสำรวจดูในเรื่องความบกพร่อง ผิดปรกติของร่างกาย ก็ลองฝึกใช้ ทฤษฎีโพเพทัส ให้มั่นใจ ซักเรื่องหนึ่งด้วยตัวของเราเป็นเครื่องพิสูจน์ สิ่งที่หมอแกนแนะนำ แม้จะพบว่ามีผู้คนมากมายที่ได้คืนกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งหนึ่ง แม้แต่ตาบอดไปแล้วทั้ง 2 ข้างที่ไม่สามารถมีจักษุแพทย์คนใด ในโลกนี้แก้ไขให้ได้ เธอเจ้าของชีวิตที่มืดมนอลกาล ก็กลับมามองเห็นด้วย 2 ตาเป็นปรกติอีกวาระหนึ่ง.........เมื่อเข้าใจและมั่นใจในทฤษฎีโพเพทัสแล้ว ให้ศึกษาเจาะลึกถึงแก่นแท้ของทฤษฎีนี้ นำไมโครชิพกลับไปสู่จุดกำเนิดได้อย่างไร หรือ เราจะอาศัย ทฤษฎีโพเพทัส เพื่อแยกจิตออกจากกายแบบนิ่มๆไม่โลดโผนก็ได้อีก ข้าพเจ้าทดลองแล้ว ก็ไม่เรียกว่ายาก ได้ผลรวดเร็วด้วยซ้ำไป เมื่อนำจิตมาถึง 'ทาง' หรือ อยู่บน มรรค ได้แล้ว ต้องไม่พลาดโอกาสดีในปัจจุบัน ทำมรรค ให้สมบูรณ์ บริบูรณ์เสียเลย....ในเว็บเพจนี้มีตัวช่วยท่านอีก 2 แห่ง แห่งแรกท่านจะแวะที่ลิงค์นี้ ศึกษาให้ถ่องแท้ ในรูปแบบมหาสติปัฏฐานแท้ๆ../article403.html และหากจะให้การปฏิบัติของท่านมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นไปอีก โดยอาศัยอภิญญาใหญ่ หรือวิชาแสงทิพย์ของ พระบรมธรรมบิดา มาต่อยอด การเดินมรรค ของท่าน ก็ลองแวะที่.. /article517.html และขอทำความรู้จักกับ สมเด็จพระวิสุทธิพุทธรังษีบรมธรรมบิดา ให้ลึกซึ้งมากขึ้นก็ลองแวะที่ /article213.html......เหตุที่นำสิ่งเหล่านี้มาบอกเล่า ด้วยความกตัญญูกตเวทิตาต่อสมเด็จพระบรมธรรมบิดา ที่มีพระคุณมากล้น เมตตาบอกทางลัดให้ลูกๆกลับบ้นเดิม ให้ทันกับภิบัติกาลของโลกและสุริยจักรวาล หรือหากเรายังมีชีวิตรอดไปได้ เราก็จะอยู่ได้อย่างไร้ตัวตน เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นเพียงถ่ายเดียว.....และยังเป็นแก่นแท้ของทฤษฎีโพเพทัสอีกด้วย ที่หมอแกนผู้ทำงานอย่างไร้ตัวตน เสียสละมายังโลกนี้ เพื่อช่วยมนุษย์โลก ให้รอดปลอด ภัยจำนวนหนึ่งอีกด้วย...ซึ่งผู้ที่สนใจ นอกจากศึกษาจากไซท์ของท่านและตำหรับตำราที่ท่านเขียนแล้ว ควรหาโอกาสโทรศัพท์ไปขอคำปรึกษา หรือถามปัญหาที่ท่านยังไม่เข้าใจ กับตัวท่านเองตามเวลาที่กำหนดไว้ ตั้งแต่ 10 โมงเช้าถึง 4 ทุ่ม นอกจากกำลังมีการบรรยาย ท่านก็จะปิดโทรศัพท์ จึงต้องตรวจสอบจากตารางการบรรยายด้วย หรือสอบถามจากคุณปูม ก็ได้ โทร. 081-341 2644 ช่วงไหนที่คุณหมอสะดวก
  • ตราบใดที่คนเรายังต้องใช้ร่างกายอยู่ มันน่าจะดีมากเลย ถ้าหากเราจะมีร่างกายที่แข็งแรง มีภูมิต้านทานโรคต่างๆ ไม่ป่วยเจ็บ หรือชราภาพ จนช่วยตนเองไม่ได้ ซึ่งชีวิตมันก็ไม่น่าอยู่ ทั้งยังเป็นภาระหนักให้แก่คนใกล้ชิดในครอบครัว ที่ต้องมาพลอยลำบากลำบนไปกับเราด้วย อันนี้อาจเป็นด้วยข้าพเจ้าช่วยเหลือตนเองมาโดยตลอดตั้งแต่เด็กๆ ที่มีพ่อก็อยู่ในภาวะไปรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 แม่ก็สุขภาพไม่แข็งแรง แต่ชาวโลกเกือบทั้งหมดก็ว่าได้ ที่ต้องแก่เฒ่า และช่วยตนเองไม่ได้ก่อนสิ้นชีพ แต่หมอแกนได้ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า หากเราตระหนักถึงระบบการทำงานของร่างกาย ที่สามารถใส่โปรแกรมต่างๆที่เราต้องการ ผ่าน ไมโครชิพ ที่หลังท้ายทอย และปฏิบัติตาม ทฤษฎีโพเพทัส ที่ฟังดูอาจง่ายๆ แต่ก็จำเป็นต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ข้อกำหนดที่วางไว้ ที่จริงก็ไม่ทำให้ผู้ปฏิบัติต้องอดอยากอะไร หากคิดว่าจะกินเพื่ออยู่ ก็เกินพอด้วยซ้ำไป จึงต้องเปลี่ยนพฤติกรรม การกินอยู่ให้ได้เป็นลำดับแรก และใช้ ทฤษฎีโพเพทัส เป็นนิสัยจึงจะสัมฤทธิ์ผล การกินรูปแบบใหม่นั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง ส่วนการรักษาระบบหายใจ 4 จังหวะ ในการกระตุ้นคลื่นเซลล์นั้น ก็มีทั้งส่วนที่เป็นเปลือกหรือกระพี้ และส่วนที่เป็นแก่นอีกด้วย ไม่ใช่เป็นแบบไม้เนื้ออ่อนล้วนๆ การเปลี่ยนตัวตนนอกจากให้ดูแข็งแรงแล้ว ในการเปลี่ยนไปเป็นผู้อ่อนวัยด้วยนั้น ต้องเพียรปฏิบัติจนจิตแยกออกจากกาย หรืออีกนัยหนึ่ง จิตไม่เห็นว่ายังมีกายอยู่ทั้งๆที่คนอื่นๆก็ยังมองเห็นๆอยู่ (ด้วยมันว่างไปหมดในความรู้สึก) แต่ผู้ที่ปฏิบัติได้แล้ว มันจะรู้สึกว่าชิ้นส่วนอวัยวะต่างๆมันเริ่มไม่มีในความรู้สึกปรกติ ในคุณลักษณะตรงนี้ สำหรับผู้ที่ฝึกใช้มหาสติปัฏฐานสูตร จนจิตแยกออกจากกายแล้ว หรือมาถึง 'ทาง' หรือ มรรค แล้ว ดูว่าจะใช้ ทฤษฎีโพเพทัส แยกจิตออกจากกายไม่ลำบากอะไร ลองนั่งกระตุ้นคลื่นเซลล์ดูซักประมาณครึ่งชั่วโมง หัวก็ดี ไหล่ก็ดี แขนก็ดี มันจะค่อยๆหายไปเงียบๆ ไม่รุนแรงอะไร ไม่น่าตกใจ มันค่อยๆหายไปอย่างเรียบๆ หากดูมันไปเรื่อยๆ มันก็จะหายไปหมดทั้งตัวนั่นเอง คราวนี้ก็จะมาถึง คำอธิบายที่ว่า ทุกสิ่งในโลกมันเป็นเพียงภาพมายาทั้งสิ้น ไม่มีตัวตนอยู่จริง สำหรับผู้ที่แยกจิตออกมาจากกายเนื้อแล้ว ก่อนที่กายเนื้อมันจะเป็นอนัตตา ตามที่คนส่วนใหญ่เข้าใจว่ามันสูญแน่แต่ต้องค่อยเป็นค่อยไป อย่างที่เราเห็นผู้คนหรือสัตว์มันตาย แล้วเน่าเปื่อยผุพัง แต่วิชาของพระพุทธเจ้า ที่ผู้เข้าไปพิสูจน์ได้ ได้รับทราบตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่เลย ดังนั้นหากท่านจะสังเกตคำพูดของผู้หมดสิ้นจากกิเลสแล้ว ว่าท่านมีชีวิตอยู่มันว่างไปเสียทุกเรื่อง คือเรื่องคิดท่านก็ไม่มี มันว่าง ด้วยระบบความคิดความจำมันถูกลบทิ้งไปหมดแล้ว เนื่องจากมันเป็นระบบของโลก ไม่ใช่วิมุติ หรืออีกโลกที่เป็นโลกุตระ หรือพ้นโลกไปแล้ว จิตไม่ใช้ระบบสมองในการคิดการจำอีกต่อไป จิตเป็นตัวของตัวเอง เมื่อมีเหตุมากระทบ จิตจึงจะทำงานตอบสนองคำถามต่างๆที่เกิดขึ้น หรือเรียกว่าท่านไม่มีเจตนาต่างๆอีกแล้ว หรือไม่สร้างกรรมใดๆนั่นเอง ไม่ก่อให้เกิดพลังงานบวกหรือลบ อยู่เป็นกลางๆหรือวางอารมณ์ในอุเบกขารมณ์
    อาจจะนอกเรื่องของกายไปค่อนข้างไกล แต่นั่นมันเป็นแก่นอย่างหนึ่งของทฤษฎีโพเพทัส ที่ท้าทายผู้ปฏิบัติไม่น้อยทีเดียว แหกกฏธรรมชาติค่อนข้างมาก ซึ่งหมอแกนให้ความเห็นเอาไว้ว่า ไมโครชิพ บนสภาวะบนโลกนี้ มีอายุไปได้ถึง 2 พันกว่าปีทีเดียว ในขณะเดียวกันเจ้าของชีวิต ก็สามารถใส่โปรแกรม กำหนดเวลาดับเครื่องของหัวใจ ได้เช่นเดียวกัน ไม่ต้องรอให้มีการเจ็บป่วยเสียก่อนจึงจะตายเหมือนคนอื่นๆเขา ส่วนอีกประเด็นของ ทฤษฎีโพเพทัส น่าสนใจมากๆตรงที่ไม่ต้องใช้ยาใดๆ กินก็น้อยเพียงมื้อเดียว เซลล์ทั่วร่างกายพึ่งพาพลังงานจากอากาศ ที่ใช้หายใจอย่างมีจังหวะจะโคน เซลล์จึงแทบไม่ต้องการพลังงาน จากอาหารมากนัก เพียงแต่เอาอาหารไว้หล่อเลี้ยงระบบทางเดินอาหาร และส่วนประกอบอื่นๆ ไม่ถึงกับเหมือนชาวดาวอังคาร ที่มีอวัยวะภายในต่างจากคนบนโลกนี้ เนื่องจากใช้พลังงานนแตกต่างกันกับชาวโลกนี้ เขาใช้ CO2 เราใช้ O2 ใช้พลังงานกันคนละแบบ

เมื่อเราฝึกเตรียมตัว ทั้งจิต และกายให้พร้อมรับวิบัติกาลของโลกและจักรวาลเอาไว้ล่วงหน้า ชีวิตมนุษย์น่าจะเผชิญเหตุการณ์ ที่ผู้อื่นอาจระทึกขวัญอย่างยิ่ง แต่ผู้ฝึกเอาไว้ดีแล้ว ให้พร้อมก่อนวิบัติภัยจะเกิดขึ้น น่าจะเป็นสิ่งที่ดีทีเดียว ถึงแม้้ว่าเลวร้ายที่สุดจะต้องเสียชีวิตลงไป ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ตาม ก็ยังสามารถดูหน้าของมัจจุราชได้ตลอดเวลา จนหัวใจหยุดทำงานไม่ตระหนกพรั่นพรึงใดๆ

ดังนั้นเมื่อได้พัฒนาทางจิต ตามครรลองที่กล่าวมาแล้ว เราก็จะแบ่งเวลาอีกส่วนหนึ่ง มายกเครื่องให้แก่ร่างกาย ให้พร้อมมือรับวิบัติกาลต่อไป และยังได้พัฒนาจิตใจให้ว่างจากตัวตนเป็นของแถมมาอีกด้วย

ส่วนผู้ที่พัฒนาจิตจนล่วงพ้นขั้นพระอนาคามีไปแล้ว อาจมุ่งหน้าพัฒนาทางจิต ใน มรรค ต่อไปจนสุดสิ้นสมบูรณ์ ไม่ต้องมาพัฒนากายให้แข็งแรงก็ได้ เนื่องจากผู้ที่มีมรรคสมบูรณ์พร้อมแล้ว อาจได้ของแถมจากอดีตชาติ เก่าๆ ทำให้ท่านผู้นั้นมีคุณสมบัติพิเศษต่างๆตามมา ทั้งฤทธิ์และอภิญญาจิตก็ได้

ส่วนก่อนจะตายก็จะเป็นไปตามครรลองของธรรมชาติ ที่คนทั่วไปคุ้นชินอยู่แล้ว ทั้งนี้ก็อยู่ที่ตัวเราจะพิจารณาเลือกเอา ว่าจะจัดการบริหารจิตและกายของเรานับแต่นี้ไปอย่างไรดี ให้เราพร้อมมากที่สุดต่อวิบัติกาล ที่อาจมีมาอีกไม่นานนักในอนาคตนั่นเอง

เชิญทุกท่าน ร่วมสร้างบุญกุศลด้วยกัน ....ส่งต่อข่าวสารแก่เพื่อนๆ มีโอกาสชมจิ๊กซอร์ต่างๆ สำหรับนักค้นหาสาระชีวิตต่อภาพส่วนตัว ทั้ง ด้านโลกียะและโลกุตระ ที่ ainews1.com จัดไว้บริการให้แก่เพื่อนทุกเพศวัยทุกคน ฟรี นอกเหนือจากส่วนขยายธุรกิจ ที่ลิงค์ /article385.html Bookmark and Share

วิเคราะห์บทพระมหาจักรพรรดิช่วยชาติไทย

บทวิเคราะห์บทสวดมนต์มหาจักรพรรดิ์

Bookmark and Share
คำอัญเชิญภพภูมิ
การใช้คำอัญเชิญภพภูมิ ผลและกำลังบุญที่ได้จะมากมายกว่าสวดคนเดียวมาก และเช่นเดียวกัน หากสวดมนต์บทพระมหาจักรพรรดิเวลา 20.30 น. กำลังที่ได้ก็มากกว่าสวดเวลาอื่นมากมายนัก ด้วยสาเหตุคือ
  1. เป็นการทำสมาธิหมู่ สวดมนต์หมู่ทั้ง 3 โลก กำลังย่อมมีมากกว่า
  2. เป็นช่วงเวลาที่หลวงปู่ท่านเปิดโลกให้ภพภูมิมองเห็นกันทั้ง 3 โลก ผลานิสงส์ การขอ การให้ การช่วยเหลือจึงเกิดขึ้นได้โดยง่าย และมหาศาลกว่ามาก
(สำหรับผู้ที่รู้จักไมโครชิพ ให้กระตุ้นไมโครชิพ ก่อนอธิษฐาน)
ลูกขอตั้งสัจจะอธิษฐาน กราบขออาราธนาเมตตาบารมีรวมหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ ขอหลวงปู่ได้โปรดมีเมตตา อาราธนาบารมีรวม ของ สมเด็จพระวิสุทธิพุทธรังษีบรมธรรมบิดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยตั้งแต่สมเด็จองค์ปฐมจนถึงองค์ปัจจุบัน บรมมหาจักรพรรดิทุกๆพระองค์ บารมีรวมพระปัจเจกพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ พระธรรม และพระอริยะสงฆ์ทั้งหลาย โดยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและอนาคต บารมีรวมหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ ท่านอันเป็นที่สุด บารมีรวมหลวงตาม้าเป็นต้น
การอ้างอิงบารมีของ พระบรมธรรมบิดา พระพุทธเจ้า และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวเพื่ออัญเชิญภพภูมิ จะมีผลมากกว่าเรากล่าวเชิญเองลอยๆ ด้วยเหตุที่บางภพภูมิก็อยากจะมาแต่มาไม่ได้ เพราะด้วยข้อจำกัดแห่งบุญของแต่ละภพภูมิ คือชั้นที่จะไปไหนมาไหนได้เองไกล ๆ จะต้องสูงกว่าเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาเป็นต้นไป การกล่าวอ้างพระบารมีของพระพุทธองค์เป็นประธาน บารมีรวมของพระโพธิสัตว์เป็นที่สุด พระโพธิสัตว์ท่านจะกำหนดเป็นทางแสงทำให้ภพภูมิต่าง ๆตามแสงนั้นมาร่วมสวดมนต์ได้ หลักเกณฑ์คล้ายๆกับชาวดาวอังคารใช้เส้นแสงพีระมิดในการกำหนดทิศทาง แล้วไปตามเส้นแสงนั้น
ขอบารมีหลวงปู่ได้โปรดเมตตาน้อมนำ ภพภูมิต่างๆทั้งหลายในทั่วทั้ง 3 แดนโลกธาตุ อันประกอบไปด้วยเทพ 6 ชั้นพรหม 20 ชั้น เทพพรหมทุกชั้นฟ้ามหาสมุทร โดยทั่วทั้งหมื่นแสนโกฏิจักรวาล เทพพรหมเทวาที่เกี่ยวพันกับหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ หลวงตาม้า เทพพรหมเทวาที่เกี่ยวพันเกี่ยวข้องกับข้าพเจ้า โดยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและอนาคต ท่านปู่พระอินทร์เจ้าฟ้า ท่านท้าวจตุมหาราชทั้ง 4 พระยายมราชพร้อมด้วยบริวารทั้งหมด
พระศรีสยามเทวาธิราชทุกๆพระองค์ วีรบุรุษและวีรสตรีทั้งหลาย ที่คอยปกป้องรักษาแผ่นดินสยาม โอปะปาติกะทั้งหลาย พระฤาษีและดาบสทั้งหลาย ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองทุกๆจังหวัด พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระราหูวราหก เจ้ากรุงพาลี แม่พระธรณี แม่พระโพสพ แม่พระคงคา พระเพลิง พระพาย พระพิรุณ พญาครุฑ-พญานาคพร้อมด้วยบริวาร คนธรรพ์ ชาวเมืองลับแล และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้าได้เคยไปอธิษฐานไว้ ขอหลวงปู่ได้โปรดเมตตาน้อมนำท่านทั้งหลายมาร่วมสวดบทพระมหาจักรพรรดิ พร้อมกันกับพวกข้าพเจ้า เพื่อเพิ่มกำลัง ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้ด้วยเถิด
คำอัญเชิญนี้เป็นแบบยาวที่คิดว่ามีประโยชน์ เพราะท่านที่ลองฝึกใหม่ๆ อาจจะยังไม่คล่องในการกำหนดจิต จึงใส่คำอัญเชิญแบบคลุมที่สุดให้ จะตัดทอนหรือเพิ่มได้ตามใจชอบ รักใครชอบใคร นับถือใครเป็นพิเศษก็กล่าวเพิ่มได้ หรือจะย่อๆว่า “ ขอเชิญภพภูมิต่างๆทั้งหลายในทั่วทั้ง 3 แดนโลกธาตุ มาร่วมสวดมนต์พร้อมกันเพื่อเพิ่มกำลัง” ก็ได้
ในเรื่องดังกล่าวผู้ที่มีมโนมยิทธิจะมองเห็นคุณประโยชน์ของสรรพวิญญาน ที่ได้รับโอกาสจากพระบรมโพธิ สัตว์ได้เพิ่มกำลังบุญบารมีแห่งตนร่วมกัน และแก่พระบรมโพธิสัตว์ และแก่ตัวเราที่เป็นผู้ตั้งจิตอธิษฐานเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เมื่อบุญบารมีเรามีกำลังเพิ่มขึ้นเร็วมาก สะพานทางเดินที่เราจะใช้เดินทางข้ามไปฟากฝั่งพระนิพพานก็จะเสร็จสมบูรณ์เร็วยิ่งขึ้น หรือนัยหนึ่งการเดินมรรคที่เหลือของเราก็จะเสร็จสมบูรณ์ได้ง่ายขึ้นนั่นเอง ไม่ต้องเดินทางโดยลำพังแต่เฉพาะตัว
ส่วนผู้ที่เคยได้รับดอกบัวสีขาวยกตัวขึ้นมาก่อน ระหว่างการปฏิบัติ ก็ให้นึกถึงภาพนั้น นำดอกบัวมารองนั่ง
หรือผู้ที่ปฏิบัติวิปัสสนา โดยใช้พีระมิดเป็นอุปกรณ์ช่วยมาก่อน และเมื่อฝึกแล้ว เห็นกายเนื้อของเราเข้าไปนั่งอยู่ในพีระมิด จะขยายออกและลดลงได้ตามจิตสั่ง แต่ในภาวะปัจจุบันให้กลับยอดแหลมชี้ลงดิน เนื่องจากกาแลกซี่อันโดรเมดาส่งประจุลบจำนวนมหาศาลมาสู่โลก พีระมิดจะได้ช่วยถ่ายประจุลบลงดินได้รวดเร็วขึ้นกว่าการส่งพลังงานลบออกสู่อวกาศ พีระมิดจะช่วยให้การปฏิบัติเป็นไปอย่างราบรื่นสะดวกยิ่งขึ้น
บทบูชาพระ
พุทธัง ชีวิตตัง เม ปูเชมิ
ข้าพเจ้า ขอบูชาพระพุทธเจ้า ด้วยชีวิต
ธัมมัง ชีวิตตัง เม ปูเชมิ
ข้าพเจ้า ขอบูชาพระธรรมเจ้า ด้วยชีวิต
สังฆัง ชีวิตตัง เม ปูเชมิ
ข้าพเจ้า ขอบูชาพระสงฆ์เจ้า ด้วยชีวิต
เป็นบทกล่าวถึงการมอบกายถวายชีวิต เพื่อพระรัตนตรัยแล้ว แม้ชีวิตก็มอบให้ได้ ผลานิสงส์บทนี้จึงมากมายนัก เรียกว่าทำดี ๆ ปิดทางนรกได้เว้นแต่กระทำอานันตริยะกรรม 4 ประการเท่านั้น เป็นบาทฐานของการเข้าถึงพระไตรสรณาคมณ์นั่นเอง

กราบพระ ๖ ครั้ง
พุทธัง วันทามิ (กราบ)
ข้าพเจ้า ขอไหว้ซึ่งพระพุทธเจ้า
ธัมมัง วันทามิ (กราบ)
ข้าพเจ้า ขอไหว้ซึ่งพระธรรมเจ้า
สังฆัง วันทามิ (กราบ)
ข้าพเจ้า ขอไหว้ซึ่งพระสงฆ์เจ้า
ครูอุปัชฌาย์อาจาริยคุณัง วันทามิ (กราบ) (ผู้หญิงว่า อาจาริยคุณัง วันทามิ)
ข้าพเจ้า ขอไหว้ซึ่งครูอุปัชฌาย์อาจารย์
มาตาปิตุคุณัง วันทามิ (กราบ)
ข้าพเจ้า ขอไหว้ซึ่งบิดา มารดา
พระไตรสิกขาคุณัง วันทามิ (กราบ)
ข้าพเจ้า ขอไหว้ซึ่งพระไตรสิกขา
การไหว้พระ ๖ ครั้งเป็นการแสดงความอ่อนน้อม แก่สรณะผู้ควรบูชา ๖ สรณะด้วยกัน แฝงไว้ด้วยกุศโลบายแห่งความอ่อนน้อม และความกตัญญูกตเวที อันเป็นเครื่องหมายแห่งคนดี
สำหรับในบทกราบพระไตรสิกขาบทนั้น เนื่องเพราะเป็นบทสรุปแห่งธรรมะทั้งปวงในพระพุทธศาสนา เป็นหนทางโดยย่อแต่ชัดเจนไม่อ้อมค้อม ทั้งยังเป็นปัจฉิมโอวาท แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย นั่นคือ "ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนท่านทั้งหลาย สังขารทั้งหลายมีความเสื่อม ความสิ้นไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลาย จงบำเพ็ญไตรสิกขา คือศีล สมาธิ ปัญญา ให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด"
บทสมาทานศีล ๕
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ(๓ ครั้ง)
ข้าพเจ้า ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
หลายท่านคงสงสัยว่า ทำไมต้องกล่าวบทคำบูชาพระพุทธเจ้านี้ก่อนว่าคาถา (ที่โบราณเรียกตั้งนะโม ๓ จบ) หรือ นำหน้าบทสวดมนต์ต่างๆตลอดด้วย ที่มาของคำบูชาพระบรมศาสดานี้ มีเรื่องเล่าว่า ณ แดนหิมวันต์ประเทศ มีเทือกเขาชื่อว่า สาตาคิรี เป็นที่ร่มรื่น รมณียสถาน เป็นที่อยู่ของพวกยักษ์ที่เป็นภุมเทพยดา อันมีนามตามที่อยู่ว่า สาตาคิรียักษ์ มีหน้าที่เฝ้าทางเข้าหิมวันต์ ทางทิศเหนือ เป็นบริวารของท้าวเวสสุวัณ สาตาคิรียักษ์ได้มีโอกาสสดับ พระสัทธรรมจากพระบรมศาสดา จนมีจิตเลื่อมใสศรัทธา เปล่งคำยกย่องบูชาด้วยคำว่า "นะโม" หมายถึง พระผู้มีพระภาค ทรงเป็นใหญ่กว่า มนุษย์ เทพยดา พราหมณ์ มาร ยักษ์ และสัตว์ทั้งปวง
กล่าวฝ่าย อสุรินทราหู เมื่อ ได้สดับพระเกียรติศัพท์ ของพระบรมศาสดา ก็มีจิตปรารถนา ที่จะได้ฟังธรรมของพระบรมศาสดาบ้าง แต่ด้วยกายของตนใหญ่โตเท่ากับโลก จึงคิดดูแคลน พระบรมศาสดา ว่า มีพระวรกายเล็กดังมด จึงอดใจรั้งรออยู่ พอนานวันเข้า พระเกียรติคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ยิ่งขจรขจายไปทั้งสามโลก จนทำให้อสุรินทราหูอดรนทนอยู่มิได้ จึงเหาะมาในอากาศ ตั้งใจว่าจะร่ายเวทย่อกาย เพื่อเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ขอฟังธรรม แต่พอมาถึงที่ประทับ อสุรินทราหู กลับต้องแหงนหน้าคอตั้งบ่า เพื่อจะได้ทัศนาพระพักตร์พระบรมศาสดา พระผู้มีพระภาคจึงทรงแสดงพระสัทธรรม ชำระจิตอันหยาบกระด้าง ของอสุรินทราหู ให้มีความเลื่อมใสศรัทธา แสดงตนเป็นอุบาสกผู้ถือพระรัตนตรัยตลอดชีวิต แล้วกล่าวสรรเสริญพระบรมศาสดาว่า “ตัสสะ” แปลว่า ขอบูชา ขอนอบน้อม ขอนมัสการ
เมื่อครั้งที่ ท้าวจาตุมหาราช ทั้ง ๔ ผู้ดูแลปกครองสวรรค์ชั้นแรก มีชื่อเรียกว่า ชั้น กามาวจร มีหน้าที่ปกครองดูแลประตูสวรรค์ทั้ง ๔ ทิศ พร้อมบริวาร ได้พากันเข้ามาเฝ้าพระบรมศาสดา แล้วทูลถามปัญหา พระบรมศาสดา ทรงแสดงธรรมตอบปัญหา แก่มหาราชทั้งสี่พร้อมบริวาร จนยังให้เกิดธรรมจักษุแก่มหาราชทั้งสี่ และบริวาร ท่านทั้ง ๔ นั้น จึงเปล่งคำบูชาสาธุขึ้นว่า "ภะคะวะโต” แปลว่า พระผู้มีพระภาค ทรงเป็นผู้จำแนกธรรมอันยิ่ง อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า
อะระหะโต เป็นคำกล่าวสรรเสริญ ของท้าวสักกะเทวราช เจ้า สวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น ท่านสถิตย์อยู่ ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท้าวสักกะเทวราช ได้ทูลถามปัญหา แด่พระผู้มีพระภาค พระพุทธองค์ทรงตรัสปริยายธรรม และ ทรงตอบปัญหา จนทำให้ท้าวสักกะเทวราช ได้ดวงตาเห็นธรรม บรรลุเป็นพระโสดาปัตติผล จึงเปล่งอุทานคำบูชาขึ้นว่า " อะระหะโต " แปลเป็นใจความว่า อรหันต์ เป็นผู้ไกลจากกิเลส ไกลจากเครื่องข้องทั้งปวง
สัมมาสัมพุทธัสสะ เป็นคำกล่าวยกย่องสรรเสริญ ของ ท้าวมหาพรหม หลังจากได้ฟังธรรม จนบังเกิดธรรมจักษุ จึงเปล่งคำสาธุการ "สัมมาสัมพุทธัสสะ" หมายถึง ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ด้วยพระองค์เอง ทรงรู้ดี รู้จริง รู้ยิ่ง กว่าผู้รู้อื่นใด รวมเป็นบทเดียวว่า "นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
"แปลโดยรวมว่า ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น ด้วยเหตุนี้โบราณท่านจึงว่า หากขึ้นต้นคาถาหรือบทสวดมนต์ใดๆด้วยการตั้งนะโม ๓ จบ คาถานั้นจะมีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนักด้วย เพราะเป็นคำสรรเสริญพระพุทธเจ้าที่มีเทพพรหมชั้นหัวหน้าได้กล่าวไว้ แรงครูหรือแรงแห่งเทพ-พรหม และแรงพระรัตนตรัยท่านจึงประสิทธิ์ให้สมประสงค์"
บทสมาทานพระไตรสรณาคมณ์
เพื่อผลานิสงส์ยิ่งขึ้น และเป็นการตล่อมจิตให้ชินต่อการทรงคุณความดี หลวงปู่ดู่ท่านแนะนำให้มีการบวชจิตในขณะกล่าวการสมาทานพระไตรสรณาคมณ์ด้วย ดังนี้
" ในขณะที่เรานั่งสมาธิเจริญภาวนานั้น คำกล่าวว่า

พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
ให้นึกถึงว่าเรามีพระพุทธเจ้าเป็นพระอุปัฌาย์ของเรา
ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ...
ให้นึกว่าเรามีพระธรรมเป็นพระกรรมวาจาจารย์ของเรา
สังฆัง สรณัง คัจฉามิ...
ให้นึกว่าเรามีพระอริยสงฆ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ของเรา
แล้วอย่าสนใจขันธ์ 5 หรือร่างกายเรานี้ ให้สำรวมจิตให้ดี มีความยินดีในการบวช ชายก็ตั้งจิตเป็นพระภิกษุ หญิงก็ตั้งจิตเป็นพระภิกษุณี อย่างนี้จะมีอานิสงส์สูงมาก จัดเป็นเนกขัมบารมีขั้นอุกฤษฎ์ทีเดียว "
เมื่อจะออกจากสมาธิก็ให้อธิษฐานกลับมาเป็นฆราวาสเหมือนเดิม การสวดมนต์ภาวนาของเราจะมีผลมากครับ อีกประการความชินของจิตใน การทรงกำลังความเป็นพระจะทำให้เราปฏิบัติธรรมได้โดยง่ายขึ้น
บทสมาทานพระไตรสรณาคมณ์ : บทนี่สำคัญมาก กล่าวด้วยกำลังใจที่เข้าถึงเต็มเปี่ยม ขอพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งสูงสุด ไม่มีที่พึ่งที่ยึดถืออื่นใดสูงกว่า เป็นปัจจัยให้ปิดทางนรกภูมิได้ เว้นแต่ได้กระทำอานันตริยะกรรมมาก่อน บทนี้ควรทำความเข้าใจ และให้เข้าถึงให้ได้ ด้วยเป็นเส้นทางเดินที่ตรงต่อพระนิพพาน ไม่หลงทาง ผู้เข้าถึงจะได้เกิดในบวรพุทธศ่าสนาอีกหากยังไม่เข้านิพพานฉันใด บทนี้คนกล่าวกันเป็นประจำ แต่หาได้เข้าใจเข้าถึงอย่างลึกซึ้งไม่ จะสังเกตว่าด้วยไม่เข้าถึงจุดนี้กัน การถือมงคลตื่นข่าวจึงเกิดขึ้นได้ตลอดในสังคมไทย…..บทนี้นี่เองที่หลวงปู่ ใช้ภาวนาทำสมาธิจนกระทั่งค้นพบวิชาภูติพระพุทธเจ้า หรือวิชาเปิดโลกที่มีผู้อื่นตั้งชื่อวิชาให้ในภายหลังนั่นเอง
หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ หรือในภาคหนึ่งของพระศรีอริยะเมตไตรย์ ที่เสียสละลงมาช่วยลูกๆหลานๆได้เดินทางลัด ไปสู่พระนิพพานได้สะดวกรวดเร็วมากขึ้น เมื่อตั้งจิตน้อมเคารพพระรัตนตรัย หลวงปู่แนะนำให้ทำการบวชจิต หรือบวชใน ทำได้ทั้งหญิงชาย ผู้ชายตั้งใจบวชจิตเป็นพระภิกษุ ผู้หญิงตั้งใจบวชจิตเป็นพระภิกษุณี และเมื่อเลิกจากการปฏิบัติภาวนยาแต่ละคราว ก็ขอลาออกมาเป็นฆราวาสก็ได้
หรือผู้ที่พร้อมแล้ว ก็บวชจิตไปตลอดเวลาไม่ต้องลา พร้อมกับรักษาศีลห้า ระมัดระวังในศีลอยู่เป็นนิจ ให้จิตเป็นปรกติ ซึ่งเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของผู้ที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ทุกคน ส่วนผู้ที่มีศีลห้าข้อไม่ครบก็จะไปเกิดในภพภูมิที่ต่ำลงไป เช่นไปกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเป็นต้น
ดุจเดียวกับการสร้างบ้านทุกๆหลัง ก็ต้องตระเตรียมทำฐานรากให้มั่นคงแข็งแรง ในสถานที่ที่จะสร้างบ้านในที่นั้นๆ เพื่อรองรับน้ำหนักทั้งหมดที่จะเกิดขึ้น ให้เกิดความแข็งแรงมั่นคง
  • เมื่อยกจิตกราบครั้งแรกภาวนา พุทธัง สรณัง คัจฉามิ..ให้นึกในใจว่าพระพุทธเจ้าเป็นพระอุปฌาย์ของข้าพเจ้า
  • กราบครั้งที่สอง ภาวนา ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ นึกในใจว่า พระธรรมเป็นพระกรรมวาจาจารย์ของข้าพเจ้า
  • กราบครั้งที่สาม ภาวนา สังฆัง สรณัง คัจฉามิ นึกว่าพระอริยสงฆ์เป็นพระอนุสาสนาจารย์ของข้าพเจ้า

เมื่อได้ตั้งจิตน้อมกราบที่แทบพระบาทของพระพุทธองค์ หรือหลวงปู่ ท่านจะได้บวชจิตเป็นที่เรียบร้อย มีหน้าที่ดำรงค์ศีลทั้ง 5 ข้อ และกรรมบท 10 สืบต่อไป ตราบสิ้นอายุขัย หรือตั้งเป้าการปฏิบัติคืนกลับบ้านนิพพาน ด้วยอภิญญาใหญ่ หรือแสงทิพย์นิพพานต่อไปไม่หยุดยั้ง จนปรากฏปฏิจจสมุปบาทขึ้นแก่จิตของท่านครบวงรอบ ท่านก็จะทราบวันตาย และเหตุแห่งการตายครั้งสุดท้ายนี้ล่วงหน้า...ขอร่วมโมทนากับทุกๆท่าน ที่ประสบความสำเร็จสมความตั้งใจอย่างเร็วพลัน ไม่เนิ่นช้า แข่งกับภัยพิบัติของโลกและจักรวาล ในรอบที่ 5 ที่จะรุนแรงกว่า 4 ครั้งที่ผ่านมา

พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งที่ระลึก
ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมเป็นที่พึ่งที่ระลึก
สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่งที่ระลึก
ทุติยัมปิ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
แม้ครั้งที่สอง ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งที่ระลึก
ทุติยัมปิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
แม้ครั้งที่สอง ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมเป็นที่พึ่งที่ระลึก
ทุติยัมปิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
แม้ครั้งที่สอง ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่งที่ระลึก
ตะติยัมปิ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
แม้ครั้งที่สาม ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งที่ระลึก
ตะติยัมปิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
แม้ครั้งที่สาม ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมเป็นที่พึ่งที่ระลึก
ตะติยัมปิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
แม้ครั้งที่สาม ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่งที่ระลึก
บทอาราธนาศีล
  1. ปาณาติปาตา เวรมณี สิกขาปะทังสมาธิยามิ
    เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการฆ่า
  2. อทินนาทา เวรมณี สิกขาปะทังสมาธิยามิ
    เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ด้วยอาการแห่งขโมยหรือโจร
  3. อพรัมจริยา เวรมณี สิกขาปะทังสมาธิยามิ
    เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการประพฤติผิดในพรหมจรรย์
  4. มุสาวาทา เวรมณี สิกขาปะทังสมาธิยามิ
    เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการพูดเท็จ
  5. สุราเมรยะ มัชชปมาทัฎฐานา เวรมณี สิกขาปะทังสมาธิยามิ
    เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการดื่มน้ำเมาอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
อิมานิ ปัญจสิกขา ปทานิ สมาธิยามิ (๓ ครั้ง)
ข้าพเจ้าขอทรงไว้ซึ่งศีลทั้งห้าประการด้วยจิตตั้งมั่น
สีเลนะ สุคะติง ยันติ สีเลนะ โภคะสัมปทา
ศีลนำความสุขมาให้ ศีลนำมาซึ่งโภคทรัพย์
สีเลนะ นิพพุติง ยันติ ตัสมา สีลัง วิโส ธะเย
ศีลคือหนทางสู่พระนิพพาน
บทอาราธนาศีล : เป็นกุศโลบายให้คนชินต่อการกล่าวศีล เพื่อการรักษาศีลอย่างแท้จริงในอนาคต อีกทั้งยังเป็นการเกิดผลานิสงส์อย่างมาก เพราะถือว่าตลอดเวลาที่เราสวดมนต์อยู่นี่เรามีศีลบริสุทธิ์จนกว่าเราจะล่วงศีล ด้วยความจำเป็นต่าง ๆเช่น ด้วยอาชีพ ในส่วน “อพรัมจริยา เวรมณี…” นั้นเพราะในช่วงที่สวดมนต์อยู่นั้น เราไม่ได้ถูกเนื้อต้องตัวกับเพศตรงข้ามอยู่แล้ว ท่านจึงให้ถือพรหมจรรย์เสีย เพื่อบุญที่มากกว่า แต่เมื่อเราสวดมนต์เสร็จแล้ว หากต้องถูกเนื้อต้องตัวเพศตรงข้ามด้วยฆราวาสวิสัย ก็ย่อมทำได้ ศีลจะเลื่อนมาที่ กาเมสุมิจฉาฯแทน เรื่องศีลนี้ความจริงมีถึง 3 ขั้น ตั้งแต่ขั้นต้นจนถึงปรมัติเลยทีเดียว ขอไดโปรดอ่านเพิ่มเติมตอนท้ายเล่มนะครับ
บทอาราธนาพระ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓ ครั้ง)
ข้าพเจ้า ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พุทธัง อาราธนานัง กะโรมิ
ข้าพเจ้าขออาราธนาซึ่ง พระพุทธเจ้า
ธัมมัง อาราธนานัง กะโรมิ
ข้าพเจ้าขออาราธนาซึ่ง พระธรรมเจ้า
สังฆัง อาราธนานัง กะโรมิ
ข้าพเจ้าขออาราธนาซึ่ง พระสงฆ์เจ้า
บทอาราธนาพระรัตนตรัยนี้ เป็นการอัญเชิญพระ บารมีของพระรัตนตรัยมาสถิตย์อยู่ที่กายและมโนแห่งเราอยู่ทุกลมหลายใจเข้า-ออก อยู่ทุกขณะจิต ให้เราไม่ห่างจาก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพื่อการเข้าถึงพระไตรสรณาคมณ์ เรื่องการเข้าถึงพระไตรสรณาคมณ์นี่ถือว่าจำเป็นมาก เพราะปิดอบายได้ เราจะไม่ลงนรก ผู้เขียนเคยถามหลวงตาว่า แล้วชาติหน้าเราจะต้องทำใหม่ไหม หลวงตาท่านว่า ไม่ต้อง เข้าถึงชาตินี้แล้วอารมณ์เก่าจะมี จะเข้าถึงตลอดทุกชาติ ปิดอบายตลอดทุกชาติจนกว่าจะนิพพาน
คาถาหลวงปู่ทวด
น้อมระลึกถึงหลวงปู่ทวด แล้วว่าคาถาดังนี้
นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา (๓ ครั้ง)
ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่ เจ้าประคุณสมเด็จหลวงปู่ทวด ผู้เป็นพระโพธิสัตว์ เป็นผู้มีโชคซึ่งเข้ามาสถิตย์อยู่ในตัวของข้าพเจ้านี้ (4)
คาถาหลวงปู่ดู่
น้อมระลึกถึงหลวงปู่ดู่ แล้วว่าคาถาดังนี้
นะโม โพธิสัตโต พรหม ปัญโญ (๓ ครั้ง)
ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพรหม ปัญโญ โพธิสัตว์
หลวงตาม้าท่านเมตตาเล่าให้ฟังว่า ถ้าจะศึกษาและปฏิบัติธรรมตามแนวของหลวงปู่ดู่ ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจในชื่อของท่านก่อน คือ พระพรหมปัญโญ มีความหมายเช่นไร
โดยคำว่า “พรหมปัญโญ” มีความหมายถึง การเป็นผู้มีปัญญาเยี่ยงพระพรหม นั่นเอง ในการที่จะมีปัญญา เยี่ยงพระพรหม ได้นั้นต้องสร้างความเป็นพระพรหมให้เกิดขึ้นแก่เราก่อน โดยการปฏิบัติตามหลักของพรหมวิหาร 4 ประกอบด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา และพยายามทรงอารมณ์ตามหลักของพรหมวิหารให้ได้ก่อน จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติตามแนวของหลวงปู่ดู่พรหมปัญโญ
บทขอขมาพระรัตนตรัย
โยโทโส โมหะจิตเต นะพุทธัสมิง ปาปะกะโต มะยา ขะมะถะเม กะตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสันตุ
การกระทำอันหลงผิดอันใด ซึ่งกระทำล่วงเกินแล้วในคุณพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าขอกล่าวคำขอขมา เพื่อการบาปกรรมทั้งหลายทั้งปวงจงสูญสิ้นไป
โยโทโส โมหะจิตเต นะธัมมัสมิง ปาปะกะโต มะยา ขะมะถะเม กะตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสันตุ
การกระทำอันหลงผิดอันใด ซึ่งกระทำล่วงเกินแล้วในคุณพระธรรมเจ้า ข้าพเจ้าขอกล่าวคำขอขมา เพื่อการบาปกรรมทั้งหลายทั้งปวงจงสูญสิ้นไป
โยโทโส โมหะจิตเต นะสังฆัสมิง ปาปะกะโต มะยา ขะมะถะเม กะตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสันตุ
การกระทำอันหลงผิดอันใด ซึ่งกระทำล่วงเกินแล้วในคุณพระสงฆ์เจ้า ข้าพเจ้าขอกล่าวคำขอขมา เพื่อการบาปกรรมทั้งหลายทั้งปวงจงสูญสิ้นไป
บทนี้มีความสำคัญมาก ด้วยกรรมไม่ดีที่เกิดแก่พระรัตนตรัยนั้น เป็นอุปสรรคอย่างมากต่อการปฏิบัติธรรม ต้องหมั่นดูกริยาของตัวเองมิให้ก้าวล่วงต่อพระรัตนตรัยอยู่ตลอดเวลา และให้คอยหมั่นขอขมาทุกวัน เนื่องเพราะบางทีเราอาจเผอเรอล่วงเกินทั้งโดยเจตนา หรือไม่เจตนา ทั้งเล็กน้อยทั้งใหญ่หลวง กุศโลบายข้อนี้คล้ายคลึงกับการต่อศีลของพระ หรือการปลงอาบัติของพระ ทั้งนี้เพื่อให้กำลังใจ ให้รู้ตัว ให้นึกรู้ตัวตาม ให้เกิดสติอยู่ทุกขณะจิตนั่นเอง เพื่อในกาลต่อไปจะได้ระมัดระวังตัวไม่ทำผิดอีกนั่นเอง
บทสวดมหาจักรพรรดิ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุท ธัสสะ (๓ ครั้ง)
ข้าพเจ้า ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
* สวดตามกำลังวัน อาทิตย์ ๖, จันทร์ ๑๕, อังคาร ๘, พุธ ๑๗, พฤหัส ๑๙, ศุกร์ ๒๑, เสาร์ ๑๐ *
แต่เดิมนั้นสวดกัน 108 จบ แต่ต่อมาหลวงตาม้าท่านเมตตาต่อศิษย์ที่มาใหม่ๆ กลัวจะหมดกำลังใจ พาลเอาไม่ปฏิบัติกัน ท่านจึงให้สวดตามกำลังวันแทน หากใครใคร่สวดถึง 108 จบก็ขออนุโมทนาอย่างยิ่งมา ณ. โอกาสนี้ สาธุ…
คำแปลบทจักรพรรดิโดยหลวงตาม้า
นะโมพุทธายะ
พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์
พระพุทธไตรรัตนะญาณ
สุดยอดของศีล สมาธิ ปัญญา (ผมฟังแล้ววิเคราะห์ว่า ที่หลวงตาท่านพูดว่าสุดยอดของศีล สมาธิ ปัญญา เพราะมีคำว่าพระพุทธคือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานนำหน้า)
มณีนพรัตน์
สมบัติจักรพรรดิ์
(ไปไล่ดู ลูกแก้ว ม้าแก้ว พระขรรค์แก้ว ฯลฯ)
สีสะหัสสะสุธัมมา
สีสะ
แปลว่า ความคิด
หัสสะ
แปลว่า มือ ก็คือ การกระทำ
สุธัมมา
คือ การรู้ทั้ง ๓ โลกธาตุ
รวมความคือ การคิดและลงมือทำ จนรู้ทั่วทั้ง ๓ โลก
พุทโธ ธัมโม สังโฆ
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ยะธาพุทโมนะ
พระพุทธเจ้าที่จะมาตรัสรู้ในอนาคต คือพระศรีอริยเมตไตรย
พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา
บูชาพระรัตนตรัย
อัคคีธานัง วะรังคันธัง
อันตรายทั้งหมดทั้งมวลไม่เกิด
สีวลี จะ มหาเถรัง
โชค ลาภ ธุรกิจการงาน คลอบคลุมทั้งหมด
อะหังวันทามิ ทูระโต
อะหังวันทามิธาตุโย
อะหังวันทามิ สัพพะโส
พุทธะ ธัมมะ สังฆะ ปูเชมิ
บูชาทั้งหมดทั้งมวลในพระพุทธศาสนา
หลวงตาม้าท่านย้ำว่าถ้าจะแปลกันจริงๆเนี่ย แปลออกมาได้เป็นหนังสือเล่มใหญ่ๆเล่มหนึ่งก็อาจจะยังไม่หมดเลยครับ เพราะเยอะมาก
บทนี้เป็นการสวดไหว้พระพุทธเจ้าทั่วทั้ง พระนิพพาน ตลอดจนถึงพระธรรมเจ้าและพระโพธิสัตว์เจ้า พระอริยะสงฆ์สาวกทั้งมวลไหว้พระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์รวมถึงน้อมนำกำลังของเทพพรหมพระอริยะเจ้าทั้งหลาย

การสวดครั้งหนึ่ง เป็นการดึงกำลังของพระเจ้าจักรพรรดิทุกๆพระองค์ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและอนาคต รวมถึงกำลังของพระมหาโพธิสัตว์เจ้ามารวมกัน อาราธนาเข้าที่กายและใจ
และรวมกำลังของพระโพธิญานโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย ตั้งแต่อดีต ถึง ปัจจุบัน และอนาคต
การสวดครั้งหนึ่งมีอานิสงส์แผ่ไปทั่วจักรวาล สามแดนโลกธาตุสามารถแผ่บุญไปทั่วทุกสรรพสัตว์ตลอดจนเทวดาประจำตัวเรา ญาติมิตรเพื่อนฝูงครอบครัวเจ้ากรรมนายเวรและหากนำบทสวดนี้ไปสวดในนรกหรือแผ่ไป ไฟนรกจะดับชั่วขณะ...ด้วยการสงเคราะห์สรรพสัตว์ด้วยแสงของพระบรมโพธิสัตว์ทั้งหลาย
บทนี้เป็นการสร้างกำแพงแก้วคุ้มกันตัว รวมถึงการอาราธนาบารมีครูบาอาจารย์พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์อัญเชิญเข้าตัว เพื่อป้องกันภัยและสร้างมหาโชค-มหาลาภ
อานิสงส์แก่ผู้สวดมีทั้งมหาบุญ-มหาลาภ เนื่องจากมีการกล่าวถึงพระสีวลี รวมถึงบทนี้มีพลังงานอย่างยิ่งในการเจริญพระกรรมฐาน หากนำไปสวดบริกรรมก่อน หรือระหว่างนั่งภาวนากรรมฐาน จะทำให้การภาวนามีพุทธานุภาพมาคลุม และคุมการปฏิบัติของเรา คลุมกายและจิตเราเป็นวิมานทิพย์ (ครอบวิมานให้ตัวเองหรือสวดอธิษฐานครอบคน อื่นก็ได้)
หากสวดบทนี้ สามารถอธิษฐานเรื่องราวใดๆมี่ติดข้องใจได้ให้ผ่านพ้นไปอย่างทะลุปรุโปร่ง กล่าวโดยสรุปได้ว่าคาถาจักรพรรดินี้ จากการเรียบเรียงถ้อยคำโดยหลวงปู่ดู่ท่าน ก่อให้เกิด จักรพรรดิ กำลังจักรพรรดิขึ้นด้วยในบทสวด พระคาถาครอบจักรวาล
พระคาถามหาจักรพรรดิที่หลวงปู่ดู่แต่งขึ้นมานั้น นอกจากท่านจะได้ทำการอธิษฐานบารมีให้ผู้สวดได้รับพลังจากพระรัตนตรัย อย่างมหาศาลแล้ว ยังก่อให้เกิด "พุทธนิมิต" เป็นวิมานแก้วพระพุทธเจ้า มาครอบสถิตย์ผู้สวดด้วย โดยมีลักษณะเป็นมณฑปแก้วจัตุรมุข ปรากฎฉัพพรรณรังสีหกประการ สว่างไสวพร้อมด้วยโพธิสัตตราวุธทั้ง 4 ประการ ประจำอยู่ทั้ง 4 ทิศ ได้แก่ พระมหามงกุฎ ตรีศูล จักรแก้ว และ พระขรรค์เพชร ทั้งหมดล้วนเป็นของคู่บุญบารมี ของพระศรีอาริย์โพธิสัตว์ โดยมี "พระมหามงกุฎ" เป็นศิราภรณ์ที่เปี่ยมไปด้วยบุญฤทธิ์ (หลวงปู่บุดดา ถาวโร พระอรหันต์ระดับจตุปฎิสัมภิทาญาณ ได้เคยนำมาถวายหลวงปู่ดู่เป็นพุทธบูชาอีกองค์หนึ่งด้วย)
ส่วนอาวุธที่เหลือทั้ง 3 ล้วนเป็นเทพศาสตราวุธชั้นสูง มีไว้เพื่อประดับบารมีแห่งพระโพธิสัตว์ และเปี่ยมไปด้วยอิทธิฤทธิ์อย่างยิ่ง หากสวดเป็นประจำสามารถอธิษฐานให้เกิดเป็นองค์พระพุทธนิมิตปางมหาจักรพรรดิ ได้ ซึ่งเปี่ยมไปด้วยอิทธิฤทธิ์และบุญฤทธิ์ มีความศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก ประดับด้วยเครื่องทรงแห่งพระมหาจักรพรรดิอย่างวิจิตรอลังการ เปล่งรัศมีหลากสีด้วยแสงแห่งรัตนอัญมณี เรียกว่า "พระมหาวิษิตาภรณ์" มาครอบสถิตย์ผู้ภาวนา บารมีของหลวงปู่ดู่ที่ท่านน้อมนำอธิษฐานจิต จึงมีความศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมาก เพราะท่านใช้บารมีทั้งหมดของท่านอัญเชิญกระแสบารมีแห่งพระรัตนตรัย และตั้งองค์พระพุทธนิมิตปางมหาจักรพรรดิบรรจุลงไปในวัตถุมงคลที่บารมีท่านมาประจุอีกด้วย
ส่วนบรรดาลูกหลาน ที่ได้มีโอกาสร่วมสร้างพระมหาธาตุเจดีย์แสงแก้ว บนสถานที่ตรัสรู้ของสมเด็จพระพุทธกัสสปะ และยังได้อัญเชิญ สมเด็จพระวิสุทธิพุทธรังษีบรมธรรมบิดา มาเป็นองค์ประธานยังพระมหาเจดีย์แห่งนี้อีกด้วย ก็ให้พากันร่วมสวดพระคาถาอริยทรัพย์บูชาพระบรมธรรมบิดา และเทพพรหมทั้งหลาย เพื่อความสุขความเจริญทั้งทางโลก และการดำเนินไปสู่พระนิพพานได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ภายใต้แสงทิพย์อริยธรรมของ พระบรมธรรมบิดา ในทุกๆขั้นตอนดังต่อไป
ล่าสุด อ.คุณแม่เกษร สุทธจิตฯ ศิษย์สำคัญของหลวงพ่อฤาษีฯได้เพิ่มเติมพระคาถานี้จากที่หลวงพ่อมาบอกท่านให้อีก คือพระคาถาอริยทรัพย์แผ่เมตตาไปทั่ว 3 โลกดังนี้ (9จบ)
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 ครั้ง)
นาสังสิโม พรหมมา จะมหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ(คาถาปัดอุปสรรค)
พรหมมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภวันตุเม
(คาถาเงินแสน)
มหาปุญโญ มหาลาโภ ภวันตุเม
(คาถาลาภไม่ขาดสาย)
มิเตพาหุหะติ
(คาถาเงินล้าน)
พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ นะมะพะธะ ละภะดะอะอุ
(คาถายอดพระกัณฑ์ปิฎก)
วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา
วิระอิตถิโย พุทธัสสะ มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม
(คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า)
สัมปะติจฉามิ
(คาถาเร่งลาภให้ได้เร็วขึ้น)
สัมปะจิตฉามิ (คาถาอภิญญาคืนคุณไสย)
โสตัตตะภิญญา (คาถาอภิญญารวม)
ขีณาสวา อนิยตา นิพพานสุขขัง (คาถาตัดกิเลส)
เพ็ง เพ็ง พา พา หา หา ฤา ฤา (คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า).....
บทอัญเชิญพระเข้าตัว และแผ่เมตตาใช้ได้ทั้ง 2 อย่าง ตามที่จิตเราตั้งเป้า
ขั้นตอนนี้ระลึกถึงหลวงปู่ดู่ ขอสัพเพฯ 3 ครั้ง อัญเชิญพระเข้าตัว
สัพเพพุทธา
ด้วยอำนาจแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
สัพเพธัมมา
ด้วยอำนาจแห่งพระธรรมทั้งหลาย
สัพเพสังฆา
ด้วยอำนาจแห่งพระสงฆ์ทั้งหลาย
พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะ ยังพะลัง
ด้วยอำนาจแห่งพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย
อะระหันตานัญ จะเตเชนะรักขัง พันธามิ สัพพะโส
(3 หรือ 5จบ)
ด้วยอำนาจแห่งพระอรหันต์เจ้ารักษา(พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระสงฆ์)ทั้งหมดทั้งมวล ขอให้เป็นไปตามคำอธิษฐาน
พุทธังอธิษฐามิ
ข้าพเจ้าขออธิษฐานด้วยอำนาจแห่งพระพุทธเจ้า
ธัมมังอธิษฐามิ
ข้าพเจ้าขออธิษฐานด้วยอำนาจแห่งพระธรรม
สังฆังอธิษฐามิ
ข้าพเจ้าขออธิษฐานด้วยอำนาจแห่งพระสงฆ์
(ให้อธิษฐานเอา)

บทสัพเพนี้เป็นบทน้อมนำพลังงาน กล่าวอัญเชิญพลังงานบุญบารมีของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย โดยมีบารมีรวมของหลวงปู่ดู่เป็นที่สุด เมื่อกล่าวบทนี้ โดยนึกถึงหลวงปู่ดู่ก่อน ท่านจะเป็นผู้น้อมนำดึงกระแสพลังงานบุญบารมีจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายใน สากลจักรวาลมาผ่านที่ตัวเรา จากนั้นกระแสบุญดังกล่าวจะไปตามเจตนา หรือคำอธิษฐานที่เรากำหนดจิตเอาไว้
ตรงนี้หลายท่านอาจยังสงสัยว่า ทำไมทำได้ คำตอบคือ ท่านเป็นพระบรมโพธิสัตว์ที่บารมีเต็มแล้ว ทั้งยังบำเพ็ญบารมีพิเศษต่ออีกนานนับกัปป์ไม่ถ้วน ช่วงยืดพระศาสนานี้ จึงเป็นวาระของท่านที่จะลงบารมีมาช่วย หากไม่ช่วยแล้ว เป็นการยากที่จะฟื้นฟูจิตใจคนให้เจริญอย่างก้าวกระโดดได้ เนื่องเพราะกระแสวัตถุนิยม ที่เหนือกระแสแห่งจิตวิญญาณกระแสแห่งความดีงาม ช่างรุนแรงเหลือเกิน เรียกว่ายุคนี้ผู้คนแม้ศีล 5 ยังปฏิบัติได้ยาก อย่าว่าแต่ศีล 8 หรือกรรมฐานเลย แตกต่างจากยุคโบราณเช่นสมัยสุโขทัยมากนัก คนในยุคนั้นไม่ค่อยมีใครตกนรกกัน ด้วยเพราะผู้คนรักสงบมีศีลมีธรรม
เรื่องภัยพิบัติต่างๆ ผู้มีธรรม และคุณธรรมพิเศษต่างช่วยกันยืดเวลาออกไป แต่ยิ่งยืดเวลา รังแต่จะยิ่งบ่มเพาะเชื้อพันธุ์แห่งกระแสไม่ดีให้โตยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เข้าทำนองเงินต้นไม่คืน ดอกเบี้ยไม่ใช้ แถมใช้อย่างฟุ่มเฟือยอีก สักวันจะพังทั้งระบบไม่หลงเหลืออะไร เมื่อวิบัติกาลมาเยือน
ด้วยประการนี้ หลวงปู่ท่านจึงถ่ายทอดและทำวิชาเปิดโลกนี้ให้ โดยท่านต้องการให้คนมีธรรม ตั้งแต่อ่อนจนละเอียดตามลำดับคือ ทาน ศีล ภาวนา โดยท่านทำกุศโลบาย สร้างพระคู่ชีวิต พระสารพัดใช้มาให้ ด้วยหวังให้คนได้ใช้บรรเทาทุกข์ตัวเองในเบื้องต้น บรรเทาทุกข์ผู้อื่นในท่ามกลาง บรรเทาทุกข์แห่งสังคมในที่สุด เมื่อสังคมย่างเข้าสู่ชาววิไลย์อีกครั้ง ผู้คนก็จะเข้าใจแก่นธรรม เพิกเฉยต่อเปลือกต่าง ๆ ที่นั่นความสงบสุขที่แท้จริงจะบังเกิด เกิดเพราะผู้คนในสังคมมีธรรมมะ
การจะปฏิบัติธรรมในยุคเร่งรีบ ยุคก้าวกระโดด ยุคสงครามระหว่างกระแสโลกีย์กับธรรมมะนี้ จึงต้องใช้วิชาเบ็ดเสร็จที่ง่าย แรง เร็ว ซึ่งวิชาเปิดโลกของหลวงปู่ ท่านมีคำตอบให้แล้วทั้งหมด ขอเพียงคำอธิษฐานนั้นมีประโยชน์ และไม่เอื้อด้วยกิเลส หากคำอธิษฐานนั้นเป็นมิจฉาทิฐิ หลวงปู่ก็จะไม่รวมบารมีมาให้ (นับว่าเป็นการดี และปลอดภัยมาก)
แต่ก่อนนี้ การจะส่งวิญญาณสักดวง ต้องทำสังฆทาน วิหารทานก่อน จากนั้นก็กรวดน้ำ กรวดแบบระบุชื่อเจาะจงด้วย วิญญาณไร้ญาติก็โชคร้ายไป แต่หากใช้วิชาเปิดโลก เพียงแต่ขอหลวงปู่ให้ส่งบุญให้ บุญทั้งหลายทั้งหมดทั้งมวลตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ของทั้งเราเอง และพระโพธิสัตว์ทั้งหมดทั้งมวล จำนวนนับอสงไขยไม่ถ้วน จะถูกรวม และส่งไปตามคำอธิษฐานของเรา อย่าว่าแต่วิญญาณดวงเดียวเลย หากเขามาโมทนาสักล้านดวง ล้านดวงวิญญาณนั้นก็จะได้รับบุญกันถ้วนหน้า
เรื่องเหล่านี้อาจจะดูเหลือเชื่อ นับเป็นปัจจัตตังที่รู้ได้เฉพาะตน ต้องขอให้ท่านทดลองดูเองเถิด…
คำอธิษฐานแผ่บุญหลังสวดมนต์
ข้าพเจ้า ......(นามของท่าน)...ผู้เป็นผู้รับใช้พระพุทธศาสนา ขอนอบน้อมและน้อมนำบารมีรวมแห่ง สมเด็จพระบรมธรรมบิดา พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอริยบุคคลทุกชั้นภูมิ พระโพธิสัตว์ และพระบรมมหาจักรพรรดิทุกๆ พระองค์ โดยตั้งแต่อดีต ปัจจุบันและอนาคต โดยมีบารมีรวมของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญเป็นที่สุด
ในส่วนอักษรสีแดงนี้สำคัญมาก เพราะหากไม่อ้าง หรือกำหนดจิตอ้างดังกล่าวแล้ว บารมีที่ส่งไปจะเป็นของเราเองซึ่งน้อยมาก แต่เมื่อเราอธิษฐานด้วยวิธีนี้จนเกิดความเคยชิน เพียงแค่นึกถึงหลวงปู่ ซ้อนภาพหลวงปู่ในกายเรา ก็สามารถทำได้แล้ว หลวงตาว่ากระแสจิตของหลวงปู่รับรู้เร็วมาก ช่วงที่เรานึกถึงหลวงปู่ 1 ครั้ง กระแสจิตไป-กลับ 7 รอบแล้ว
ขอพระบารมีอันหาที่สุดมิได้นี้ ฝากไปกับแสงทิพย์อริยธรรมของพระบรมธรรมบิดา โปรดจงส่งไปให้ถึงภพภูมิต่างๆทั้งหลายในทั่วทั้ง 3 แดนโลกธาตุ อันประกอบไปด้วยเทพ 6 ชั้น พรหม 20 ชั้น เทพพรหมทุกชั้นฟ้ามหาสมุทรโดย ทั่วทั้งหมื่นแสนโกฏิจักรวาล เทพพรหมเทวาที่เกี่ยวพันกับหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ หลวงตาม้า เทพพรหมเทวาที่เกี่ยวพันเกี่ยวข้องกับข้าพเจ้า โดยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและอนาคต ท่านปู่พระอินทร์เจ้าฟ้า ท่านท้าวจตุมหาราชทั้ง 4 พระยายมราชพร้อมด้วยบริวารทั้งหมด
พระศรีสยามเทวาธิราชทุกๆพระองค์ วีรบุรุษและวีรสตรีทั้งหลาย ที่คอยปกป้องรักษาแผ่นดินสยาม โอปะปาติกะทั้งหลาย พระฤาษีและดาบสทั้งหลาย ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองทุกๆจังหวัด พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระราหูวราหก เจ้ากรุงพาลี แม่พระธรณี แม่พระคงคา แม่พระโพสพ พระเพลิง พระพาย พระพิรุณ พญาครุฑ-พญานาคพร้อมด้วยบริวาร คนธรรพ์ ชาวเมืองลับแล
และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้าได้เคยไปอธิษฐานไว้ ตลอดจนถึง สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย สรรพสัตว์ในดินแดนอบายภูมิทั้งหลายทั้งหมดทั้งสิ้น ขอโปรดจงได้รับมหากุศลผลบุญบารมีนี้ โดยถ้วนทั่วทุกตัวตน ทุกคนทุกท่าน เทอญ…(ตั้งใจโน้มนำบุญและแผ่บุญออกไปด้วยบทสัพเพฯ)....ลูกขอฝากพลังงานบุญกุศลทั้งมวลไปกับแสงทิพย์ของ สมเด็จพระบรมธรรมบิดา ออกไปทั่วเครือข่าย cellular stations ที่ลูกได้ติดตั้งไว้ทั่วอนันต์จักรวาล และขอนำบุญกุศลของพวกข้าพเจ้าทั้งมวล นำไปสมทบกับภูเขาบุญของหลวงปู่ดู่ที่เหนือท้องฟ้าวัดสะแก..ขอหลวงปู่ดู่ร่วมโมทนาบุญกับลูกหลานทุกๆท่านทุกๆคนด้วยเถิด
นี่เป็นตัวอย่างเช่นกัน จะย่นย่อ หรือกล่าวนามเทพ-พรหม สิ่งศักดิ์สิทธิ์อันใดเพิ่มเติมก็แล้วแต่จริตครับ การแผ่บุญอย่างนี้ดวงวิญญาณทั้งหลายที่กล่าวมาจะถึงแน่นอน แต่จะได้รับหรือไม่ขึ้นกับว่า เขารับหรือไม่ หรือกระแสมิจฉาทิฐิครอบเขาจนกระทั่งไม่รับรู้อะไร ไม่ยอมรับอะไรหรือไม่ ด้วยเหตุนี้เป็นคำตอบที่ว่า บางทีต้องไปปรับภูมิถึงที่ ก็เหมือนกับเรานั่งอ่านพระไตรปิฎก กับไปฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าโดยตรง ตรงแทบพระบาทท่าน ธรรมมะเหมือนกัน แต่การเข้าถึง การเข้าใจย่อมแตกต่างกัน(มาก) เรื่องนี้ก็เปรียบเทียบได้เช่นเดียวกัน... เมื่ออธิษฐานเสร็จแล้ว ส่งพลังงานบุญกุศลไปกับบทสัพเพฯและแสงทิพย์
สัพเพพุทธา สัพเพธัมมา สัพเพสังฆา
พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะยังพลัง
อรหันตานัญ จะ เตเชนะรักขัง พันธามิ สัพพะโส
ในระหว่างนี้ให้วางจิตเบา ๆ โน้มนำพระบารมีเข้าตัว หรือผู้ที่ได้แล้ว จะเห็นเองว่าจะมีพระบารมีเข้าตัวเป็นแสงสว่างวาบไปหมด ในขณะเดียวกัน แสงนั้นก็พุ่งตรงไปยังดวงวิญญาณที่จะปรับภพ ปรับภูมิให้ แต่ทั้งนี้ ไม่ใช่ดวงวิญญาณทุกดวงที่จะได้รับบุญ บางวิญญาณที่มีมิจฉาทิฐิ หรือมีโมหะ คือ ไม่รู้เรื่องว่าโมทนาคืออะไร ก็จะยังไม่ได้รับ เราก็ต้องสัพเพฯ หลาย ๆรอบ จนบารพระท่านครอบกายทิพย์สว่างเย็นไปหมด ช่วยโน้มนำให้วิญญาณนั้นละพยศและความเขลานั้นได้สำเร็จ
พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ
แสงทิพย์อริยธรรมของพระบรมธรรมบิดา อธิษฐามิ
การนำไปใช้จริง
  1. ให้ หมั่นอุทิศบุญดามวิธีดังกล่าวอยู่เสมอไม่ว่าจะเดินทางไปในที่แห่งไหน โดยเฉพาะเวลาไปจ่ายตลาดในตลาดสด วิญญาณสัตว์ที่พึ่งตาย หรือที่ค้างอยู่มีมหาศาลทุก ๆวัน ตามป่าช้าหรือข้างทางที่เราเดินทางไปทุกที่ พร้อมทั้งอธิษฐานให้ทรงทั้งยามหลับยามตื่น เพราะเหล่าวิญญาณจะได้โมทนาได้ตลอด บางทีก็ครอบให้เสร็จสรรพ แบบมัดมือให้เลย การเดินทางไปต่างจังหวัดแต่ละทีก็เก็บได้มหาศาล
ยิ่งทำบ่อยๆยิ่งคล่องครับ ถ้าทำคล่องแล้วต่อไปเวลากำหนดแผ่ก็กำพระ แล้วน้อมกำลังบุญไปได้ แค่กำหนดจิตชั่วขณะโดยไม่ต้องใช้คำพูดก็ยังได้ ขอแค่ให้ใจทรงกำลังทั้งหมดที่อาราธนามาในขณะนั้นได้ก็พอ แล้วก็กำหนดแผ่ไปได้เลย ขณะกำพระ แต่ถ้าเป็นการอธิษฐานใหญ่หรือการสวดมนต์ประจำวัน ก็อธิษฐานใหญ่ตามเนื้อหาด้านบนได้เลย แล้วก็แผ่ไปทั่ว 3 โลก ไม่ว่าพรหมโลก เทวะโลก มนุษยโลก ภพภูมิน้อยใหญ่ต่างๆ นรกโลก และทุกๆ อบายภูมิ ผู้มีพระคุณแก่ข้าพเจ้า ครอบครัว เพื่อนฝูง คนที่เกี่ยวข้องเกี่ยวพันกับข้าพเจ้าทุกๆคน ญาติข้าพเจ้าทั้งหมดในโลกทิพย์ บริวารข้าพเจ้าทั้งหมด เทวดาประจำตัวข้าพเจ้าทั้งหมด เจ้ากรรมนายเวรข้าพเจ้า
2. ก่อนทานอาหาร หลวงตาแนะนำให้ส่งวิญญาณด้วย ให้ทำจนเป็นนิสัย เนื้อไม่ว่าชิ้นเล็กชิ้นน้อย จะเป็นชิ้น หรือเป็นน้ำก็มีกระแสโยงถึงวิญญาณเจ้าของธาตุนั้นได้ ส่งให้เนื้อ กระแสบุญจะส่งถึงวิญญาณเอง ให้อธิษฐานส่งให้ถึงสายใยอาหารของเนื้อนั้นทั้งหมดทั้งมวลด้วย ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดทั้งมวล ตั้งแต่อดีต ถึงปัจจุบัน และอนาคต
คำอธิษฐานรวมบุญ
เพื่อความคล่องตัวในเรื่องการเงิน และทุก ๆเรื่อง เป็นการเบิกบุญเก่า และบุญใหม่ที่ยังไม่ให้ผลให้ส่งผลเร็วขึ้น(ควรอธิษฐานทุกวัน)
ก่อนการรวมบุญก็อัญเชิญภพภูมิทั้ง 3 แดนโลกธาตุมาร่วมรวมกองบุญด้วย จะทำให้เกิดกำลังที่มากขึ้น โดยอาจกล่าวสั้น ๆว่า “ ด้วยพระบารมีแห่งแสงทิพย์อริยธรรมของ พระบรมธรรมบิดา ขอเชิญภพภูมิทั้ง 3 แดนโลกธาตุ เพื่อนผองบริวารทั้งหลายทั้งปวง ผู้มีพระคุณทั้งปวง ขอเชิญมาร่วมรวมกองบุญไปพร้อมกันกับข้าพเจ้าเถิด ”
ข้าพเจ้า ผู้เป็นผู้น้อมอุทิศร่างกายรับใช้งานพระพุทธศาสนา ขอน้อมนำบารมีรวม แห่ง สมเด็จพระบรมธรรมบิดา พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอริยบุคคลทุกชั้นภูมิ พระโพธิสัตว์ โดยมีบารมีแห่งองค์ สมเด็จองค์ปฐมบรมมหาจักรพรรดิเป็นประธาน มีบารมีรวม พระมหาจักรพรรดิของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญเป็นที่สุด ขอได้โปรดรวมกำลังบุญบารมีทั้ง 10 ทัศ อันได้แก่ ทาน, ศีล, เนกขัมมะ, ปัญญา, วิริยะ, ขันติ, สัจจะ, อธิษฐาน, เมตตา, อุเบกขา ของข้าพเจ้า เพื่อนำมาใช้เป็นกำลัง ให้มีความคล่องตัวในทุกๆเรื่อง
อันใดติดขัด ขอให้คล่องตัว อันใดคล่องตัวอยู่แล้วขอให้คล่องตัวยิ่งๆขึ้นไป โดยขึ้นชื่อว่าความอด ความอยาก ความยาก ความจน ความไม่มี และการรอคอย จงอย่าได้บังเกิดมีในข้าพเจ้า ผู้เป็นผู้รับใช้แห่งพระพุทธศาสนา นับตั้งแต่กาลบัดเดี๋ยวนี้ ตราบจนข้าพเจ้า เข้าสู่พระนิพพานด้วยเถิด และโดยเฉพาะกาลนี้ ขอให้มีความคล่องตัวในเรื่อง ...(อธิษฐานขอพิเศษเอา).....ตัวอย่างเช่น.... ขออริราชศัตรูทุกตัวตนในทุกมิติ บนแผ่นดินของ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มีเนื้อที่มากกว่า 1.2 ล้านนตารางกิโลเมตร จงวินาศ ...สันติ สัมปฏิจฉามิ สัมปจิตฉามิ.
ที่กล่าวว่า “ผู้เป็นผู้รับใช้พระพุทธศาสนา” ก็ด้วยเป็นกุศโลบายโน้มใจให้คนเข้าถึงพระไตรสรณะคมณ์เพื่อปิดอบาย และเร่งนิพพานนั่นเอง
ตรงส่วน “รวมกำลังบุญบารมีทั้ง 10 ทัศ ….” นี้ด้วยหากเป็นการรวมทั่วไปจะคิดกันแค่เรื่องทาน ทำให้คล่องตัวแต่เรื่องการเงินเท่านั้น บุญอย่างอื่นเช่น ปัญญา เมตตา (บริวาร ผู้มาช่วยเหลือ) ก็จะไม่มี จึงให้กล่าวบารมีรวมทั้ง 10 ทัศ ทำให้เกิดความคล่องตัวในทุกเรื่องนั่นเอง แต่สำหรับเหล่าพระโพธิญานนั้นให้อธิษฐานเต็มที่สูงสุดไปเลยนั่นคือ "รวมกำลังบุญบารมีทั้ง 10 ทัศถึง 30 ทัศ" เพื่อพลานิสงส์อันสูงสุด....อธิษฐานเสร็จแล้วสัพเพฯฝากไปกับแสงทิพย์ของ พระบรมธรรมบิดา
สัพเพพุทธา สัพเพธัมมา สัพเพสังฆา
พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะยังพะลัง
อรหันตานัญ จะ เตเชนะรักขัง พันธามิ สัพพะโส
ในระหว่างนี้ให้วางจิตเบา ๆ โน้มนำบุญบารมีเข้าตัว หากใจนิ่งสบาย ๆ แล้ว จะสัมผัสอารมณ์อิ่มเอิบอย่างประหลาดได้ในช่วงนี้
พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ
แสงทิพย์อริยะธรรมของพระบรมธรรมบิดา อธิษฐามิ
สำหรับท่านที่จะนั่งสมาธิต่อ ตามกำหนดเวลาที่ต้องการ หรือจะให้กายและใจใช้รูปแบบของทฤษฎีโพเพทัส แล้วแยกจิตออกจากกาย ....ตรงนี้สำหรับผู้ที่เคยได้รับดอกบัวแก้วจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก่อน ท่านสามารถนำกายทิพย์หรือพลังจิตเข้าไปนั่งอยู่ในดอกบัวแก้ว หมุนอยู่ในพระอุทรของพระบรมธรรมบิดา หรือผู้ที่จิตยังผูกพันกับกายอยู่ ก็ขอให้นึกให้ดอกบัวแก้วกลายเป็นจักรแก้วอันคมกริบ หมุนตัดร่างกายให้เป็นผุยผงตั้งแต่ศรีษะลงมาถึงเท้า จนจิตเริ่มไม่เกาะร่างกายอีกต่อไป หรือเห็นร่างกายสลายไปหมดสิ้น จิตก็จะไม่ห่วงใยกายเนื้ออีกต่อไป
ส่วนผู้ที่เคยแยกจิตออกจากกายโดยวิธีในมหาสติปัฏฐานสูตรมาก่อน ก็นึกแยกกายทิพย์ใส่เอาไว้ในดอกบัวแก้ว สำหรับรองนั่งปฏิบัติวิปัสสนาในพระอุทรของพระบรมธรรมบิดาได้ทันที ปล่อยให้ใจและกายทำหน้าที่ในทฤษฎีโพเพทัสต่อไป จนครบเวลาชีวะภาพที่กำหนดเอาไว้ จิตก็จะถอนออกมาตรงกำหนดเวลาที่ตั้งไว้ล่วงหน้า แล้วทำการรวมบารมี 10 แผ่ส่วนกุศลอีกครั้งหนึ่ง เป็นรอบที่ 2
** ให้อธิษฐานรวมบุญทุกวัน เช้าตอนก่อนออกทำงาน-ก่อนนอน หากได้เวลา 20.30 น.ด้วยยิ่งดีมากครับ
คำอธิษฐาน ฝึกจิต เร่งสมาธิ เร่งนิมิต
ข้าพเจ้า ......(นามของท่าน)...ผู้เป็นข้ารับใช้แห่งพระพุทธองค์ และสมเด็จพระบรมธรรมบิดาขอนอบน้อมและน้อมนำบารมีแห่งพระพุทธเจ้า แสงทิพย์พระบรมธรรมบิดา พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอริยบุคคลทุกชั้นภูมิ พระโพธิสัตว์ และพระบรมมหาจักรพรรดิ ตั่งแต่อดีต ปัจจุบันและอนาคต ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆกันมา โดยมีบารมีรวมของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญเป็นที่สุด ขอได้โปรดยกจิตของข้าพเจ้า ขึ้นสู่ภาวะ พระกรรมฐานทั้ง 40 ทัศ พระปิติทั้ง 5 และวิปัสสนาญาณทั้ง 9 ขอพระกรรมฐานทั้ง 40 ทัศ พระปีติทั้ง 5 และวิปัสสนาญาณทั้ง 9 จงมาบังเกิดปรากฏ ในกายทวาร ในวจีทวาร ในมโนทวาร ของข้าพระพุทธเจ้า ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด
ขอได้โปรดยกจิตของข้าพเจ้า ขึ้นสู่ภาวะเปิดโลก สามารถกำหนดจิต รู้ภาวะการณ์ต่างๆทั้งเหตุ ผล อดีต อนาคต และปัจจุบัน ได้ทุกขณะจิตที่ปรารถนาจะรู้ เมื่อรู้แล้วขอให้เห็นภาพนั้นได้ชัดเจนแจ่มใสและพยากรณ์ได้ตามความเป็นจริง ทุกๆประการ เหตุที่จะพึงบังเกิดแก่ข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้าได้รู้เหตุนั้นโดยมิต้องกำหนดจิตแม้แต่ประการใด ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด
บทนี้ปรับปรุง(เล็กน้อย) จากบทสมาทานพระกรรมฐานของหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง ใช้อธิษฐานทุกเช้า และก่อนนั่งสมาธิประจำวัน ช่วยกำหนดให้นิมิตไม่ผิดพลาด ไม่เกิดอุปาทานเข้าแทรก
เมื่อกล่าวถึงอุปาทาน หลายท่านอาจจะวิตกว่า การแผ่บุญหรือวิชาอะไรต่าง ๆ จะเป็นอุปาทานด้วย ขอได้เข้าใจอีกครั้งว่า แม้ท่านจะไม่เห็นนิมิตใด ๆเลย หรือเห็นแจ่มแจ้งก็ตาม หากเรื่องนั้นมีประโยชน์หลวงปู่ท่านอนุเคราะห์แน่นอน ขอให้เข้าใจว่าเรามิได้ใช้กำลังของเราล้วน ดังการเดินวิชาอย่างโบราณ แต่อุปาทานจะเกิดได้ มักเกิดจากการที่เรานำวิชาไปในทางที่ไม่ค่อยมีประโยชน์ เช่น ไปอวดนั่นอวดนี่ แสดงความเก่งกล้า ทำนายนั่นทำนายนี่ที่ไม่มีสาระ ไม่ทำให้ใจเจริญขึ้น ไม่เป็นไปเพื่อการสร้างบารมีหรือการหลุดพ้น……สาธุ….
ลูกขอกราบขอบพระตุณหลวงปู่ดู่ และพระทุกพระองค์ที่แทบพระบาท และขอโมทนาบุญกุศลกับทุกๆท่านที่ได้มาร่วมสวดมนตร์ไหว้พระ และสวดพระคาถามหาจักรพรรดิ ในทุกวาระตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ตลอดไปกับทุกท่านโดยทั่วกัน ขอความสุขความเจริญที่ทุกท่านปรารถนา จงเป็นผลสมบูรณ์ ฉับพลัน และต่างได้รับแสงทิพย์นิพพานของ พระบรมธรรมบิดา นำทางเข้าพระนิพพาน ทันใดได้ตามปรารถนาเทอญ

ลองอ่านดูนะครับ แล้วจะรู้ว่าหลวงปู่นี้รักเรามาก หาหนทางอย่างง่าย ๆ หลอกให้เราปฏิบัติ(กุศโลบาย) ตั้งแต่ปิดนรก ยันนิพพานเลย.....
(ท่านผู้รู้อย่างหลวงปู่ดู่ ท่านบำเพ็ญบารมีมานานมาก จึงมีความละเอียดละออในทุกเรื่อง และรู้เห็นในเรื่องต่างๆด้วยญาณทัสสนะของท่าน การศึกษาแต่ละขั้นตอนจึงต้องค่อยๆพิจารณาตามไปให้เข้าใจเด่นชัด หรือหากท่านที่ใช้มโนมยิทธิตามไปในทุกๆเรื่องที่หลวงปู่ท่านแนะนำ ก็จะเห็นภาพต่างๆที่เกี่ยวข้อง มิใช่เพียงอ่านตัวหนังสือ เปรียบเสมือนผู้ที่ได้ดูวีดิโอ ไม่ใช่รับฟังแต่เสียงอย่างเดียว ก็จะยิ่งเข้าใจระเบียบปฏิบัติที่หลวงปู่นำมาสั่งสอนอบรมเอาไว้ ได้เป็นอย่างดี ไม่ใช่สอนตามตำราหรือ ตามสมมุติฐาน หลวงปู่ท่านสอนจากสัจจธรรมความจริง ทั้งหลายทั้งปวงในโลกียภูมิ และโลกุตรภูมิ)
เมื่อได้นำมาพิจารณาดูหลายๆรอบแล้ว โดยเฉพาะบรรดาลูกหลาน ของ หลวงปู่ดู่และพระพุทธกัสสปะ ที่ได้ร่วมกันก่อสร้างพระมหาธาตุเจดีย์แสงแก้ว และผู้ที่มีโอกาสได้กราบสักการะ และทราบข่าวเรื่องราวอันเป็นมหามงคลต่างๆ ของพระมหาธาตุเจดีย์แห่งนี้ และรอยพระพุทธบาท ทั้ง 4 รอย ในภัทรกัปนี้ บนเชิงเขาฟากตรงกันข้ามกับองคฺ์มหาพระเจดีย์ที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 5.9 กิโลเมตรนั้น
สามารถนำวิธีการสวดมนตร์และปฏิบัติกรรมฐาน ในบริเวณโดยรอบพระมหาเจดีย์ ในแนวทางของหลวงปู่ดู่ เพื่อเพิ่มพลัง ให้แก่ตนเอง และส่งเสริมเพิ่มพลังบุญบารมี ให้แก่สรรพสัตว์ทั่วทั้ง 3 โลก ได้มีโอกาสมาร่วมสวดมนตร์ ทำกรรมฐานร่วมกัน และโมทนาบุญร่วมกัน อันเป็นการสร้างมหากุศล อย่างยิ่งใหญ่ ยากที่จะหาสถานที่ใดปานเปรียบ ทุกๆฝ่ายได้เพิ่มกำลัง โดยทางลัด เพื่อไปพระนิพพาน ทั้งในภาคมนุษย์ซึ่งดูไปแล้วเพียงน้อยนิด แต่ภาคพลังงาน ทุกภพภูมิในมิติต่างๆที่ได้รับแสงสงเคราะห์จากพระบรมโพธิสัตว์ และหลวงปู่ดู่นั้น มีมากมายนับเหลือคณานับทีเดียว ที่ต้องการมาร่วมเพิ่มพลังด้วยในแต่ละคราวด้วยแสงสงเคราะห์ของพระบรมโพธิสัตว์
และการที่บรรดาลูกหลานทุกท่าน ได้มีโอกาสมาร่วมทำความดีตรงนี้จะ ได้รับการโมทนาสาธุจากพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ที่มีเสด็จพ่อเกิดแม่เกิดของทุกๆท่าน และทุกๆคน คือ สมเด็จพระบรมธรรมบิดา เป็นองค์ประธาน เมื่อพระองค์ท่านทรงเป็นประธานอยู่ ณ แห่งหนใด ย่อมจะมี เทพพรหม ทุกชั้นฟ้า เสด็จมาเฝ้าพระองค์ท่านอย่างเนืองแน่น หรือเปิดทั้ง 3 โลกนั่นเอง และต่างก็จะได้ รับแสงทิพย์นิพพาน โดยทั่วกัน ช่วยเพิ่มพลังบุญบารมีนับเท่าทวีคูณ ให้แก่ลูกหลานที่เป็นมนุษย์ และเทพพรหมทุกท่านอีกด้วย ได้บุญเพิ่มขึ้นอีกหลายเด้งพร้อมๆกัน
การปฏิบัติอันเป็นมหามงคลยิ่งนี้ ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ นอกจากสร้างความเข้าใจ เข้าถึงเกิดความศรัทธา จิตจึงน้อมเข้้ามา ย่อมจะเกิดผลดีต่อบรรดาลูกหลานทุกคน ที่สะพานเดินข้ามหุบเหวมรณะ ไปยังฟากฝั่งพระนิพพาน จะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น แม้ในชาติปัจจุบันนี้
(ขออนุญาตแทรกความรู้สึกจากการปฏิบัติ ในทุกๆขั้นตอน ที่หลวงปู่ดู่สอนไว้
ที่บริเวณโดยรอบ องค์พระมหาเจดีย์แสงแก้ว ภาคมนุษย์ทุกคน ที่กำลังปฏิบัติ เราจะรู้สึกว่าตนเองต่างเป็นประหนึ่งตัวแทน หรือผู้ทำหน้าที่พิธีกรของงานที่สำคัญยิ่ง อยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของ สมเด็จพระบรมธรรมบิดา ต่อหน้าพระพักตร์ของ พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ตั้งแต่สมเด็จองค์ปฐมฯ ลงมาจนถึงองค์ปัจจุบัน พระธรรม พระอริยะสงฆ์สาวกทุกพระองค์ พระบรมโพธิสัตว์ทุกพระองค์ เทพพรหม ทุกชั้น ในทุกๆมิติ และสรรพวิญญานทั่วทั้ง 3 โลก ที่มีโอกาสได้มาร่วมพิธีสวดมนตร์และทำกรรมฐาน โดยการสงเคราะห์ทางเดินแสงของพระบรมโพธิสัตว์ให้ทุกท่านมายังสถานที่นี้ได้โดยไม่มีอุปสรรคขัดข้อง
เราจะได้ยินเสียงของเราที่มีสมาธิตั้งมั่น ด้วยศรัทธา ตั้งใจทำทุกสิ่งอย่างด้วยความเคารพ ต่อทุกๆพระองค์ในสถานที่นี้ ดังได้กล่าวแล้วข้างต้น จนกระทั่งจบการนั่งภาวนา หลังจากสวดบทพระมหาจักรพรรดิและคาถาอริยทรัพย์จบลงแล้ว ตามกำลังวัน หลังจากทำกรรมฐานเสร็จ เราก็จะนำสวดสัพเพฯ รับพระเข้าตัว และอธิษฐานรวมบุญ แผ่ส่วนกุศลด้วยบทสัพเพฯ โดยอาศัยบารมีรวมของหลวงปู่ดู่ช่วยสงเคราะห์ ไม่ว่าจะเป็นการแผ่บุญกุศลไปทั่วทั้ง 3 โลก เราก็จะฝากบุญไปกับแสงทิพย์ของ พระบรมธรรมบิดา ด้วย
ทีนี้ขอวกกลับมาที่การทำสมาธิ สำหรับท่านที่ยังไม่ถึงขั้นแยกจิตออกจากกาย ท่านก็มีอุปกรณ์ช่วย โดยนึกถึง ภาพมหัศจรรย์ ที่ สมเด็จพระพุทธกัสสปะ ได้ทรงซ้อนภาพมิติมหัศจรรย์เอาไว้ให้ ที่ภาพหลวงปู่ครูบาวงศ์ ที่อยู่ในบริเวณพระมหาเจดีย์ โดยท่านจะนึกถึงภาพนี้ เมื่อถวายตนกับพระรัตนตรัย ซึ่งในภาพมีครบทั้ง 3 ประการ สมเด็จพระพุทธกัสสปะ ท่านจะให้การสงเคราะห์แก่ลูกหลานที่นึกถึงพระองค์ท่าน ให้เราทำใจให้เป็นหนึ่ง เสมือนพระบรมธาตุของพระองค์ท่าน ที่มีแสงรัศมีแพรวพราว นั่งกำหนดจิต ในภาพต่อไปจนกระทั่ง พระมหาเจดีย์แก้ว ที่ทรงให้ไว้ในภาพ 2 องค์รวมกันเป็นพระมหาเจดีย์แก้วเพียงองค์เดียว จิตของท่านเริ่มรวมเป็นหนึ่ง และถ้าท่านโชคดีจิตของท่าน หรือตัวในของท่านอาจเข้าไปนั่งอยู่ในพระเจดีย์แก้วอยู่เพียงผู้เดียว
จะนึกให้พระมหาเจดีย์ใหญ่เล็กอย่างใดก็ได้ตามที่เราปรารถนา หากท่านมีโอกาสเช่นนี้ ให้ท่านจำภาพนี้เอาไว้ใช้ได้ตลอดชีวิต โดยในสภาวะเช่นนั้นจิตของท่านได้แยกออกจากกายเนื้อ โดยสมเด็จฯท่านทรงให้การสงเคราะห์แก่ท่านแล้ว ให้ท่านนึกเอาไว้ตลอดเวลา การทำสมาธิของท่านก็จะบรรลุความสำเร็จไปแล้วขั้นหนึ่ง ไม่ต่างกับท่านได้ยึดหัวหาดของพระนิพพานได้แล้ว นั่นเอง
หรือบางท่านที่มีความเคารพรัก หลวงปู่ครูบาวงศ์ และภาพซ้อนของพระพุทธกัสสปะ จะใช้วิธีการในทฤษฎีโพเพทัสของหมอแกน ทำสมาธิกระตุ้นคลื่นเซลล์ให้ใจและกายปฏิบัติไปตามขั้นตอนในทฤษฎี ส่วนจิตยกไปจับภาพซ้อนมหัศจรรย์ของหลวงปู่วงศ์ที่พระมหาธาตุเจดีย์ จับภาพทำวิปัสสนาไปด้วย กำหนดเห็นพระบรมธาตุหรือแสงทิพย์รัศมีแวววาว และพระเจดีย์แก้วทั้ง 2 พระองค์ กำหนดภาพจนพระเจดีย์แก้วเคลื่อนเข้าซ้อนกันเป็นองค์เดียว นำจิตหนึ่งของเราเข้าไปรวมกับพระบรมธาตุให้เป็นหนึ่งเดียว แล้วค่อยๆเคลื่อนเข้าไปอยู่ในองค์พระเจดีย์แก้ว ที่มีรัศมีแพรวพราวออกไปรอบองค์ รักษาภาพนี้ไว้ตลอดการทำวิปัสสนา เมื่อได้แยกจิตไปทำวิปัสสนา ใจที่คอยกำกับกายทำสมาธิกระตุ้นคลื่นเซลล์ ไปจนครบกำหนดเวลาชีวภาพ จิตก็จะถอนออกจากการทำสมาธิและวิปัสสนา ตรงกับกำหนดเวลาที่ได้ตั้งใจไว้แต่แรกพอดีเป๊ะ แล้วจึงนึกน้อมถึงบารมีของหลวงปู่ดู่ แล้วสัพเพฯอัญเชิญพระเข้าตัวต่อไป
การนึกถึงภาพนี้หรือทรงภาพนี้เอาไว้ในจิตตลอดเวลา จะช่วยสะสมพลังงานคลื่่นความถี่สูงให้แก่จิตของท่านตลอดเวลา ต่อยอดการปฏิบัติสมาธิของท่าน อยู่ภายในพระมหาเจดีย์แก้ว เพื่อเดินมรรค ต่อไปให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ ส่วนพระท่านจะสงเคราะห์ให้ท่านเห็นสิ่งใด ก็กำหนดดูไปเฉยๆตลอดทั้งภาพอดีต และอนาคต จนทุกอย่างครบเป็นวงรอบ ในปฏิจจสมุปบาท รู้เหตุว่าเราจะตายอย่างไร เมื่อไรเป็นต้น เราตั้งตนเอาไว้ นึกถึงความตายเพื่อความไม่ประมาท ตั้งใจเดินมรรคต่อไปครั้งละนานๆหลายๆวัน ไม่สนใจว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น ขอตายในพระเจดีย์แก้ว แล้วท่านก็จะได้ดีเอง ลุถึงที่สุดในกิจอันพึงทำในพระพุทธศาสนา
ส่วนท่านที่ ได้เดินมาถึง มรรค หรือได้เคยแยกจิตออกจากกายแล้ว ไม่ว่าจะใช้วิธีมหาสติปัฏฐานสูตรต่างๆก็ดี หรือ วิชชาอภิญญาใหญ่ก็ดี หรือแสงทิพย์นิพพาน ของ สมเด็จพระบรมธรรมบิดา ก็ตาม เวลาท่านนั่งทำสมาธิอยู่ในบริเวณโดยรอบพระมหาเจดีย์ ท่านก็นั่งเฉยๆ นึกถึงอารมณ์จิต ในครั้งที่ท่านได้ถึง 'ทาง' หรือจิตแยกออกมาจากกาย ได้แล้วนั้น มาทำการต่อยอดสะสมพลังงานคลื่นความถี่สูงให้แก่จิตของท่าน เพื่อใช้ประหารกิเลสต่างๆที่จะค่อยๆทะยอยโผล่หน้ามาให้เห็นเป็นลำดับไปจน กระทั่งลุถึงความสมบูรณ์ของการบำเพ็ญมรรค
การตั้งใจตรงนี้จะแยกออกเป็น 2 ประเภท สำหรับผู้ที่เคยปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน จะนึกถึงกายทิพย์ที่ฝากเอาไว้ใน พระอุทรพระบรมธรรมบิดา นั่งอยู่บนดอกบัวแก้ว ที่ขอบารมี พระบรมธรรมบิดา หมุนดอกบัวตามเข็มนาฬิกา และโคจรไปรอบองค์พระบรมธรรมบิดา ตามเข็มนาฬิกา....นอกจากแยกจิตออกมาจากกายเป็นคราวๆแล้ว ยังสามารถระลึกถึงภาพนี้ได้ตลอดเวลา ที่กายเนื้อและใจปฏิบัติหน้าที่ทางโลก ส่วนเมื่อว่างจากหน้าที่ประจำเมื่อไร ก็กลับมาที่จิตซึ่งแยกออกจากกายแล้วนั้นทันที ทั้งนี้เพื่อสะสมพลังงานคลื่นความถี่สูงให้แก่จิตตลอดเวลา เสมือนการเดินมรรคตลอดเวลานั่นเอง
  • เพื่อทำประทักษิณบูชาพระคุณความดีของ พระบรมธรรมบิดา
  • หมุนเพื่อรับเข้าซึ่งบุญบารมีรวมของ พระบรมธรรมบิดา หรือการโมทนาสาธุบุญกุศลทั้งมวลของพระองค์ท่านเข้าสู่จิตวิญญานของเราตลอดเวลา และพร้อมที่จะจ่ายออกตลอดเวลาด้วยเช่นกัน หากรับให้เต็มเฉพาะตัวเรา แล้วไม่ดำริจ่ายออก ไม่เกิดประโยชน์ที่ควรจะเป็นที่ควรจะได้แก่ผู้อื่นๆอีกมากมาย พระบรมธรรมบิดา ส่งเสริมให้ลูกๆทุกคน เมื่อช่วยตนเองได้แล้ว ให้ช่วยกันทำหน้าที่ช่วยลูกๆของพระองค์ท่านอีกมากมาย มหาศาล ไปพร้อมๆกันด้วย พระองค์ท่านจึงย้ำให้ทุกคนทำหน้าที่ของตนต่อไป จนกว่าเข้านิพพาน ลูกๆที่ได้พบแสงทิพย์จึงเต็มใจยกสังขารร่างกายให้พระองค์ทรงใช้เป็นสถานีถ่ายทอดแสงทิพย์ได้ตลอดเวลาทั้งหลับและตื่น..(และตอนไปกราบลาคุณแม่เกษร ในวันไหว้ครู 8 ม.ค.2554 ซึ่งท่านกำลังเป็นตัวแทนของ พระบรมธรรมบิดา กำลังมาโปรดคลายทุกข์ให้แก่ลูกๆ ได้กราบเรียนพระองค์ท่านว่า บัดนี้ลูกได้ทำการติดตั้งสถานีลูกข่ายแสงทิพย์ ออกไปยังทุกๆสรรพสิ่งทุกๆชีวิต และวัตถุสิ่งของต่างๆทั่วอนันต์จักรวาล หลังจากได้ทราบปริศนาธรรมของพระองค์ท่านจาก รศ.ศุภางค์ เทียนนิมิตร ซึ่งพระองค์ท่านทรงบอกว่า...พ่อรอได้ยินคำพูดนี้ออกมาจากปากของลูกมานานทีเดียว พร้อมกับหันไปหยิบมีดหมอมากรีดที่ศรีษะ เป็นรางวัลให้หนึ่งที ต่อไปจะได้คิดได้ทำอะไรให้ไวๆหน่อย)
  • หมุนด้วยคลื่นความถี่สูงเพื่อตัดกิเลส โดยให้ดอกบัวแก้วกลายสภาวะเป็นจักรแก้วแทน
  • หมุนดอกบัวในสภาวะจักรแก้วตัดสังขารร่างกาย ตั้งแต่ศรีษะลงมาที่เท้า ขึ้นลงๆบ่อยๆให้ร่างกายธาตุ 4 สลายตัวคืนให้กับโลกไป...เมื่อไร้กายสังขาร วิญญานทั้ง 6 ตัวยุ่งปรุงแต่งสารพัด ก็ฉิบหายไป เนื่องจากต้นเหตุถูกขจัดทิ้งไป
  • หมุนเพื่อแผ่เมตตาจิต ในแถบคลื่นสีเหลือง ไปกับแสงทิพย์ให้แก่สรรพสัตว์ทั่วทั้ง 3 โลกตลอดเวลา แล้วยังสามารถนึกขอบารมี พระบรมธรรมบิดา โคลนนิ่งกายทิพย์ของเรานั่งบนดอกบัว ออกไปไม่จำกัดจำนวน ไปหมุนช่วยสงเคราะห์สัมภเวสี ในสถานที่ต่างๆได้เป็นครั้งคราวได้อีกด้วย เป็นประโยชนเมื่อเกิดการเสียชีวิตเป็นหมู่ใหญ่อย่างปัจจุบันทันด่วน ผู้คนไม่ทันตั้งตัว นำพาบุญแสงทิพย์ไปช่วยดึงจิตวิญญานพวกนี้ ได้เปลี่ยนมิติไปอยู่สวรรค์ก่อน
ดังนั้นการหมุนของดอกบัว จึงได้ทั้งประโยชน์ตนประโยชน์ท่านพร้อมกันไปในทีเดียว...อภิญญาใหญ่มีปฏิบัติการได้ครอบคลุมกว้างขวางมาก อยู่ที่จิตของเราดำริให้ยังคุณประโยชน์เกิดแก่เพื่อนๆสรรพสัตว์ผู้ร่วมทุกข์ ได้พบหนทางสว่างด้วยแสงทิพย์นั่นเอง.... ส่วนอีกประเภทที่มุ่งเป็นสาวกภูมิโดยแท้ อาจกำหนดความโล่งว่างด้วยแสงทิพย์นิพพาน อยู่กับสภาวะอารมณ์ที่ได้ทำสมาธิ จิตแยกออกจากกายมาถึง 'ทาง' ของตน หรือ มรรค ไร้ตัวตน ที่ได้จากการปฏิบัติในมหาสติปัฏฐานสูตรในครั้งแรกนั่นเอง เพื่อใช้อารมณ์นั้นเดินมรรค แต่เพียงอย่างเดียว จนมรรค สิ้นสุดสมบูรณ์ หากจะศึกษารายละเอียดจากผู้ที่ผ่านทางสายนี้มาแล้ว ก็แวะที่ลิงค์นี้ได้ ...ในบุคคลประเภทนี้ คล้ายคนขับรถจากตรอกซอกซอย ในเขาวงกต พอพบไฮเวย์ ก็เหยียบสุดคันเร่ง ไปตามไฮเวย์ จนกระทั่งถึงที่หมาย
การสร้างมหาเจดีย์ ที่เป็นวัตถุธาตุก็จริง หากนำมาต่อยอดด้วยการปฏิบัติตามแนวทางของหลวงปู่ดู่ หรือพระศรีอริยะเมตไตรย์ ในอนาคตนั่นเอง ทุกท่านก็จะได้รับคุณประโยชน์ ไปพร้อมๆกับสรรพวิญญาน อีกมากมายทั้ง 3 โลกไปพร้อมๆกับเรา คืนกลับบ้านพระนิพพาน เป็นคณะที่ยิ่งใหญ่ เป็นการต่อยอดทำประโยชน์อเนกอนันต์ คุ้มค่าความเหนื่อยยากในการสร้างพระมหาเจดีย์ มา 5 ปีเศษทีเดียว
ก็ขออนุญาตแทรกเหตุการณ์ตรงนี้เอาไว้ ให้แก่บรรดาญาติโยมทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับพระมหาเจดีย์ แสงแก้ว อันเป็นสถานที่ตรัสรู้ของสมเด็จพระพุทธกัสสปะ ที่เคารพรักยิ่งของลูกๆหลานๆทุกคน ที่ได้ทราบรายละเอียด และที่พระองค์ท่านได้ทรงซ้อนภาพมหัศจรรย์มายืนยัน แสงแก้ว ที่หลวงปู่ครูบาวงศ์ ได้ตั้งชื่อพระมหาธาตุเจดีย์แสงแก้วเอาไว้ล่วงหน้าก่อนการลงมือสร้างองค์พระมหาเจดีย์นานแล้วนั่นเอง)
เชิญทุกท่าน ร่วมสร้างบุญกุศลด้วยกัน ....ส่งต่อข่าวสารแก่เพื่อนๆ มีโอกาสชมจิ๊กซอร์ต่างๆ สำหรับนักค้นหาสาระชีวิตต่อภาพส่วนตัว ทั้ง ด้านโลกียะและโลกุตระ ที่ ainews1.com จัดไว้บริการให้แก่เพื่อนทุกเพศวัยทุกคน ฟรี นอกเหนือจากส่วนขยายธุรกิจ ที่ลิงค์ /article385.html Bookmark and Share